2Candles.com :: กระทู้ เทียนสองเล่ม

UserName
Password

 
      Kama 12
 


๑. กรรมพาให้เกิด (ชนกกรรม)
              คนเราที่มาเกิด ก็เนื่องจากกรรมที่ตนเองเคยสร้างไว้ในอดีตชาติ บันดาลให้มาเกิดตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมไว้ อันเป็นพลังอำนาจของกรรมที่เรียกว่า “ชนกกรรม” หรือกรรมที่พาให้เกิดเมื่อกรรมบันดาลให้ไปเกิดในครรภ์ ที่ออกลูกเป็นตัว(ชลาพุชะ) ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดี ก็จะเกิดเป็นคน ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว ก็จะพาไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่น หมี ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น
             ถ้าเป็นกรรมบันดาลให้เกิดในไข่ คือ ออกไข่ เป็นฟอง แล้ว จึงฟักออกเป็นตัว(อัณฑชะ) ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดี ก็จะเกิดเป็นครุฑ ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว ก็จะเกิดเป็น แร้ง กา นก เป็ด ไก่ เป็นต้น  ถ้าเป็นกรรมบันดาลให้เกิดในไคลที่ชื้นแฉะ สกปรก (สังเสทชะ) ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดีเกิดเป็นเลน ไร ฯลฯ ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว ก็เกิดเป็นหนอน ถ้ากรรมบันดาลให้ผุดขึ้น คือ ผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด แม้เมื่อตายก็ยังไม่ต้องมีเชื้อหรือซากปรากฎ (โอปปาติกะ) ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดีก็จะเป็นเทพ เทวดา รวมทั้งมนุษย์บางจำพวกเช่น คนธรรพ์ คนลับแล ฯลฯ ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว ก็จะเป็น สัตว์นรก เปรต อสูรกาย ยักษ์ ฯลฯ
คนเรานี้เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน แต่ทว่าไม่เหมือนกัน บางคนร่ำรวย บางคนยากจน บางคนมีปัญญา บางคนโง่เขลา บางคนกลับเป็นบ้า บางคนมีอายุสั้น บางคนมีอายุยืน บางคนมีโรคมาก บางคนมีโรคน้อย บางคนมีผิวพรรณงาม บางคนมีผิวพรรณทราม บางคนเกิดในตระกูลสูง บางคนเกิดในตระกูลต่ำ เหล่านี้ล้วนเป็นอำนาจของกรรมทั้งสิ้น คนที่มีอายุสั้นนั้น เป็นคนที่มักสร้างกรรม ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นคนโหดเหี้ยม มือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการฆ่า ไม่มีเมตตาเอ็นดูในชีวิตของผู้อื่น คนที่มีอายุยืนนั้น เป็นผู้เว้นจากการฆ่า มีความละอายต่อบาป มีความเมตตา ชอบช่วยเหลือและอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลาย คนที่มีโรคมากนั้น เป็นผู้ทีชอบสร้างกรรม ชอบเบียดเบียนและทำร้ายสัตว์
            คนที่มีโรคน้อยนั้น เป็นผู้ที่มีความเมตตา ไม่เบียดเบียนสัตว์ ผู้ที่มีผิวพรรณทรามนั้น เป็นคนขี้โกรธ พยาบาทมาดร้าย แค้นเคือง แม้ถูกต่อว่าเล็กๆน้อยๆ ก็ขัดใจแก้แค้น ผู้มีผิวพรรณงามนั้น เป็นคนใจเย็น ไม่ค่อยถือสาโทษโกรธเคือง ไม่ผูกเจ็บพยาบาท มองโลกในแง่ดี และให้อภัยใครได้เสมอ คนที่มีอำนาจบารมีน้อย เพราะเป็นคนมีใจริษยา อิจฉาผู้อื่นที่เขาได้ลาภ สักการะ ยศตำแหน่ง ความเคารพนับถือมากกว่าตน คนที่มีอำนาจบารมีมากนั้น เป็นคนที่มักยินดีที่คนอื่นได้ดีกว่าตน ไม่อิจฉาริษยา แต่กลับส่งเสริมและยอมรับในบารมีของผู้อื่น บุคคลที่เป็นคนจนมีโภคทรัพย์น้อย เป็นเพราะไม่ชอบทำทาน ไม่รู้จักให้ เป็นคนเห็นแก่ได้ ชอบลักเล็กขโมยน้อย คอรัปชั่น เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น บุคคลที่เป็นเศรษฐี มีทรัพย์สินเงินทองมากนั้น เป็นเพราะมีความเชื่อ ศรัทธา ให้ทานอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ เป็นคนที่ให้กับให้ ชอบช่วยเหลือสละทรัพย์เพื่อสังคมไม่เอาของคนอื่น ผู้เกิดในตระกูลต่ำ ก็เพราะเป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ไม่รู้จักกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ ไม่นับถือบูชาคนที่ควรบูชา คนที่เกิดในดระกูลสูงได้นั้น เพราะว่าเป็นคนอ่อนน้อม ไม่เย่อหยิ่ง ชอบปรนิบัติคนที่สมควรปฏิบัติ ไหว้บุคคลที่ควรไหว้ เคารพบุคคลที่ควรเคารพ นับถือบุคคลที่ควรนับถือ บูชาบุคคลที่ควรบูชา สำหรับบุคคลที่มีปัญญามาก ก็เป็นเพราะว่าชอบสนทนากับผู้ที่มีปัญญา ชอบอ่าน ชอบคิด ชอบพิจารณา และใฝ่หาความรู้ การที่เราได้เกิดมาแล้วในชาตินี้ เราก็ไม่อาจเลือกเกิดได้ เพราะกรรมในอดีตชาติ ที่เราได้สร้างสมไว้แล้วนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในชาติหน้านั้น เราสามารถเลือกเกิดได้ตามใจชอบด้วยการกระทำ หรือสร้างแต่กรรมดีไว้ในชาตินี้ มีผู้คนจำนวนไม่มากนัก ที่เข้าใจในพลังอำนาจของกรรม หากเราสามารถทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง เท่ากับเป็นการวางโครงการชีวิตในระยะยาว ซึ่งจะทำให้เราสามารถเลือกเกิดในสภาวะเช่นไรก็ได้ อย่างเช่น หากต้องการเกิดมารวย ในชาติปัจจุบัน ก็หมั่นให้ทานเป็นประจำ เสียสละทรัพย์ช่วยเหลือสังคมอย่างสม่ำเสมอ อย่าได้เอารัดเอาเปรียบผู้ใด การฉ้อโกง คอรัปชั่น ต้องเว้นขาด หรือหากต้องการเป็นคนที่แข็งแรงและมีอายุยืน ก็อย่าได้ทำร้ายเบียดเบียนและฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้ใด แม้แต่สัตว์เล็กๆน้อยๆ เช่ม มด ยุง แมลงสาป ปลวก กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ
และหากต้องการแก้กรรม ที่ทำไว้ในอดีต ก็ให้ช่วยเหลือและปล่อยชีวิตอื่นให้รอดพ้นจากการบาดเจ็บและความตาย ก็สามารถทำได้ “กรรมนั้นมีพลังอำนาจต่ออายุให้ยืนยาวอีกไปได้”

๒. กรรมสนับสนุนหรือกรรมอุปถัมภ์ (อุปถัมภกกรรม)
               กรรมที่ช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนกรรมฝ่ายดี ให้เจริญยิ่งขึ้น และกรรมฝ่ายชั่ว ให้ชั่วยิ่งขึ้น เรียกว่า “กรรมสนับสนุน” หรือ “อุปถัมภกกรรม” ถึงแม้ว่าในชาติปัจจุบันที่เราเกิดมาแล้วนี้ เราจะพลาดพลั้ง เกิดมาในสภาพไม่ดีนัก ไม่น่าพอใจนัก แต่เราก็สามารถเพิ่มเติม ปรับปรุงแก้ไข ให้ดีกว่าเดิมได้ เช่น ถ้าหากเกิดมาจน ก็แก้กรรม ด้วยความขยันขันแข็ง มานะ อดทน แบ่งรายได้ ทำบุญทำทานบ้างเป็นปรกตินิสัย อย่าไปคดโกง เอารัดเอาเปรียบใคร ในไม่ช้า ก็สามารถเป็นคนมีทรัพย์ได้ เหมือนอย่างที่เราเห็นคนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัว จากไม่มีอะไรจนมีหลักฐานเป็นปึกแผ่น ซึ่งมีให้เห็นเยอะแยะ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเกิดมารวย แล้วประมาทไม่สนใจใยดี ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างไม่รู้คุณค่า ไม่รู้จักทำมาหากิน แสวงหาเงินทองมาเพิ่มเติม เอาแต่เที่ยวเตร่ ดื่มสุรายาเมา คบเพื่อนเที่ยวเกเร ไม่ช้าก็ไม่มีอะไรเหลือ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นในสังคมมากมาย พลังอำนาจของกรรมที่พาให้เกิด นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ก็ยังมีพลังอำนาจของกรรมอีก 11 อย่างที่มีอิทธิพลบันดาลชีวิตให้เปลี่ยนแปลงได้ อย่างเช่น พลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์หรือกรรมสนับสนุน ซึ่งมีทั้ง กรรมฝ่ายดี และกรรมฝ่ายไม่ดี บางคนพอเริ่มเข้าท้องแม่ ก็มีพลังบันดาลให้พ่อแม่โชคดีมีลาภ ทำมาค้าขึ้น ทำอะไรก็ดูดีไปหมด อย่างนี้เรียกว่า พลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์ฝ่ายดี ให้ผล แต่ถ้าหากว่าเป็นไปในทางตรงข้าม กลับทำให้พ่อแม่มีแต่เรื่อง เดือดร้อนมีแต่ปัญหา มีแต่ทุกข์ เป็นลุกล้างผลาญ แล้วละก็นั้นเป็นพลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์ฝ่ายชั่ว ให้ผล หรือหากว่าเกิดมาเป็นเสือก็มี พลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์ฝ่ายชั่ว ให้มีพลังวังชา มีนิสัยดุร้าย ทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากขึ้น เป็นบาปมากขึ้น
            ในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีผู้หนึ่ง มีชื่อว่า “อานันทเศรษฐี” ถึงแม้ว่าจะเป็นเศรษฐี แต่ก็เป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว ทานไม่ให้ ศีลไม่รักษา หาทรัพย์มาได้เท่าใด ก็เก็บรักษาเอาไว้ โดยไม่ยอมจ่ายอะไรเกินความจำเป็น แม้จะกินก็อดๆอยากๆ จิตเต็มไปด้วยความโลภอยากได้ และก็ยิ่งโลภจัดขึ้นทุกวัน ที่เกิดเป็นเศรษฐีในชาตินี้ได้ ก็เพราะเคยใส่บาตรพระอรหันต์ ที่มาบิณบาต หน้าบ้านในอดีตชาติก่อนโน้น ต่อมาเมื่อเศรษฐีเฒ่าถึงแก่กรรม แต่จิตก็เต็มไปด้วยความหวงและห่วงใยในทรัพย์สิน หน้าดำคร่ำเครียด เพราะฉะนั้น ชนกกรรมอกุศล หรือกรรมพาให้เกิด จึงชักนำไปเกิดในครรภ์ของหญิงจัณฑาลยากจนคนหนึ่ง จากกนั้นพลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์ฝ่ายชั่วก็สนับสนุน โดยดลบันดาลให้คนจัณฑาลในหมู่บ้านนั้น ซึ่งอดอยากอยู่แล้ว อดอยากหนักเข้าไปอีก
             ในที่สุดคนจัณฑาลทั้งหลาย ก็ได้ประชุมหารือ หาคนที่เป็นกาลกิณีโดยแบ่งเป็น 2 พวก ถ้าพวกไหนขัดสนลาภ ก็แสดงว่า คนกาลกิณีอยู่ในพวกนั้น ก็ให้แบ่งพวกอย่างนี้ จนกว่าจะพบคนที่เป็นกาลกิณี ในที่สุดก็หาพบ หญิงจัณฑาลมีครรภ์ จึงถูกขับไล่ออกจากหมู่ให้ไปอยู่โดดเดี่ยว เที่ยวซัดเซพเนจรไปเรื่อยๆ ได้รับความลำบากเป็นหนักหนา ต่อมาได้คลอดบุตร ซึ่งแสนจะน่าเกลียดน่าชัง ยังกับผีเปรตแสนทุเรศไม่เหมือนคน ซึ่งทารกน้อยโตขึ้นจนรู้เดียงสา ก็ได้กะลาเป็นสมบัติ แล้วอำลาแม่เที่ยวขอทานเขาเลี้ยงชีวิต ไปทั่วทุกทิศ วันหนึ่ง ก็ได้เดินทางมาถึงปราสาทอันมโหฬาร คลับคล้ายคลับคราว่าคุ้นๆ จึงเดินดุ่มเข้าไป จึงถูกขับไล่ทุบตี แต่ด้วยความรู้สึกในจิตใต้สำนึกว่า ปราสาทนี้ตนเป็นเจ้าของ จึงจะเข้าไปให้ได้ ในที่สุดก็ถูกทุบตีจนบอบช้ำหยุดนิ่ง พอดีขณะนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จผ่านมา ด้วยญาณรู้ พระองค์จึงบอกแก่คนทั้งหลายให้ทราบว่า “ขอทานหน้าผีเปรตนี้ คือเศรษฐีเจ้าของปราสาท กลับชาติมาเกิด” เศรษฐีลูกชายไม่เชื่อ พระพุทธองค์จึงให้เศรษฐีในคราบขอทานเล่าประวัติของตนในชาติก่อน พร้อมทั้งให้ไปชี้ขุมทรัพย์อีก 5 แห่งที่แอบฝังไว้ไม่ให้คนอื่นรู้ ก็เป็นอันพิสูจน์ได้ เศรษฐีลูกชายจึงเชื่อเรื่อง พลังอำนาจของกรรม ตั้งแต่นั้นมา
               ที่จริงเรื่องทำนองเดียวกันนี้ ในยุคปัจจุบันก็เหมือนกัน เจ้าของห้างใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นคนขี้เหนียว ชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่น พอตายไป เกิดมาเป็นขอทาน แล้วมานั่งขอทานอยู่หน้าห้างของตนเอง แต่ลูกหลานซึ่งเป็นเจ้าของห้างในปัจจุบัน คงไม่เชื่อแน่เพราะไม่มีใครพิสูจน์ให้เห็นจริง เศรษฐีขอทานจึงต้องขอทานไปเรื่อยๆ เอ่ยชื่อห้างขึ้นมาต้องร้อง “อ๋อ” กันทั้งเมือง
             เพราะฉะนั้น บุคคลบางคน ประสบภัยวิบัติ พบกับอุปสรรคขัดข้องในชีวิตเสมอ มีความอาภัพอับโชคตลอดชีวิต แต่บางคน ดูเหมือนจะโชคดีอยู่เสมอ มีความสุขความเจริญในชีวิตทั้งๆที่ในชีวิตปัจจุบัน ก็ทำแต่ความดี เหมือนๆคนอื่นนั่นแหละ แต่ก็ประสบโชคโดยไม่คิดฝัน ก่อความแปลกประหลาดใจแก่ตนเป็นอย่างมากอยู่เสมอ
เหล่านี้เป็นพลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์ หรือกรรมสนับสนุน จะเป็นกรรม ฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่วนั้น ก็แล้วแต่เจ้าตัวได้สร้างไว้

๓. กรรมเบียดเบียน (อุปปีฬกกรรม)
               กรรมที่ทำหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่นที่ตรงข้ามกับตน ที่กำลังให้ผลไม่ว่าจะเป็นผลดี หรือผลชั่วมิให้เกิดผลอีกต่อไป เรียกว่า “กรรมเบียดเบียน” หรือ “อุปปีฬกกรรม” ซึ่งจะให้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไป พลังอำนาจของกรรมเบียดเบียน มีอิทธิพลต่อชีวิตมาก ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว อย่างเช่น คนที่สร้างกรรมไว้ดีแล้ว กำลังได้รับสนองผลของกรรมดี ประสบความสุขความเจริญ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สมบัติ ลาภยศ บริวาร หรือที่เคยยากจนกำลังทำท่าจะมั่งมี ที่มั่งมีอยู่แล้วก็กำลังจะรวยใหญ่กลายเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี แต่ให้เผอิญ กรรมเบียดเบียน ตามมาทันจึงเกิดพลังอำนาจเข้าไปทำหน้าที่เบียดเบียนบั่นทอนชีวิตที่กำลังก้าวหน้านั้น ให้อับเฉาหยุดความก้าวหน้าลง
             อดีตกาลนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งมีที่พักอาศัยอยู่ใกล้ๆ วัดริมแม่น้ำ ในยามเย็นใกล้ค่ำวันหนึ่ง ขณะอาบน้ำอยู่ที่ท่าน้ำหน้าบ้าน ก็พอดีมีสามเณรน้อยน่ารักองค์หนึ่ง พายเรือผ่านมา ชายคนนี้นึกคะนองขึ้นมาแกล้งสามเณร เอามือกวักน้ำไปที่สามเณร สามเณรก็หลบด้วยสัญชาตญาณ จึงเป็นเหตุให้เรือล่มทันที สามเณรน้อยตกใจ รีบว่ายน้ำใจคอสั่น ส่วนปากก็ตะโกนด่าว่า ชายคนนั้นก็บังเกิดความโกรธ จึงเข้าไปตบที่หูของสามเณร 2-3ที แล้วดึงสามเณรขึ้นมาสู่ฝั่งริมแม่น้ำ จากนั้นก็กลับบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ต่อมาอีกไม่นานนัก ชายคนนี้ได้ตายไป ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎสงสารเป็นเวลาช้านาน จนในสมัยพุทธกาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีนามว่า “สุนักขัตตลิจฉวี” เมื่อเติบใหญ่เจริญวัยขึ้น ได้มีโอกาศฟังธรรม ก็เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แล้วขอบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ในสำนักของพระพุทธเจ้า โดยตั้งใจที่จะฝึกบำเพ็ญวิปัสสนา เพื่อตัดกิเลส เป็นอริยบุคคลในภายหลัง
พระพุทธองค์ได้บอกอุบายวิธีอันถูกต้องเหมาะสมกับจริต ในไม่ช้า พระสุนักขัตตลิจฉวี ก็ได้สำเร็จฌาณและบรรลุ ทิพยจักขุอภิญญา โดยเร็วภายในเวลาไม่กี่วัน มีตาทิพย์ สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ เหนือวิสัยของคนธรรมดา เช่น มองเห็นเทวโลก และพรหมโลก เป็นต้น ภิกษุใหม่ดีใจนักหนา จึงเข้าไปทูลขออุบายวิธี เพื่อที่จะฝึกวิชา ทิพยโสตอภิญญา หรือ วิชาหูทิพย์ให้สำเร็จต่อไป พระพุทธองค์ก็ทรงให้ บริกรรมภาวนา แต่ไม่ได้บอก อุบายวิธี เพราะทรงทราบว่า จะมีพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียน หรือ อุปปีฬกกรรม มาเบียดเบียน มิให้ได้วิชาหูทิพย์ เพราะกรรมที่เคยได้ ตบหูสามเณร ในอดีตชาติ จะมาฝึกวิชาที่เกี่ยวกับหู ให้สำเร็จได้อย่างไร พระสุนักขัตตลิจฉวี ได้ฝึกวิชาหูทิพย์ อยู่ 3 ปี ก็หาได้สำเร็จไม่ ก็เกิดความเบื่อหน่าย และคิดผิดว่าพระพุทธเจ้า คงไม่มีวิชาที่วิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว จึงลาสิกขาแล้วไปอยู่ในสำนักอื่นนอกพุทธศาสนา ครั้นตายไปแล้วก็ไปเกิดในนรก เหตุการณ์อย่างนี้ แม้ในปัจจุบันก็ยังเกิดขึ้นอีกมากมาย กับพระสงฆ์นักเปรียญ ที่บวชกันมานานแล้ว แต่เมื่อถูกพลังอำนาจของกรรมนี้มาเบียดเบียน ก็ต้องสึก หรือลาสิกขา ไปใช้ชีวิตแบบคฤหัสถ์
               นี่คืออาการของพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียนฝ่ายชั่วที่เข้าเบียดเบียนทำร้าย กรรมฝ่ายดีที่มีสภาพตรงข้ามกับตน
               แต่บางคนกำลังประสบความทุกข์ยาก ต้องโทษ ต้องภัย สิ้นสมบัติ ได้รับความเดือดร้อน ที่เคยมั่งมีกลายเป็นมีมั่ง ไม่มีมั่ง กำลังย่างก้าวเข้าสู่ความยากจน ที่ยากจนอยู่แล้ว ก็กำลังจะยากจนหนักลงไปอีก ชีวิตกำลังประสบมรสุมจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว พลันกรรมเบียดเบียนฝ่ายดีตามทัน ก็จะเกิดพลังอำนาจเข้าทำหน้าที่เบียดเบียนบั่นทอนกรรมฝ่ายชั่ว ที่กำลังครอบงำชีวิตอยู่นั้น ให้พลันเสื่อมสลายไปทันที ชะตาชีวิตที่ริบหรี่แทบจะไม่มีแสงสว่าง พลันเป็นชีวิตที่รุ่งโรจน์สว่างสดใส พ้นโทษ พ้นภัยได้ ในสมัยพุทธกาล ยังมีชายคนหนึ่ง มีลักษณะเหี้ยมโหดดุร้าย ผมเผ้าพะรุงพะรังดั่งคนป่า มีขนงอกยาวกว่าคนปรกติไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หน้าอก จะมีมากเป็นพิเศษ หนวดเครายาวรุ่มร่าม แต่ก็มีสีแดง จึงได้ชื่อว่า “นายเคราแดง”
               นายเคราแดง ไม่มีอาชีพแน่นอน มักถูกดูหมิ่นดูแคลนอยู่เสมอ จึงสมัครเป็นโจร แต่หัวหน้าโจรไม่กล้ารับไว้ เพราะดูลักษณะแล้ว มันเหี้ยมโหดเกินไป กลัวจะแว้งกัดในภายหลัง แต่นายเคราแดง ถึงแม้จะผิดหวัง แต่ก็ไม่ละความพยายาม เข้าฝากตัวกับสมุนโจรผู้หนึ่ง คอยปรนิบัติรับใช้จนเป็นที่ถูกใจ แล้วอ้อนวอนให้ไปฝากตัวกับหัวหน้าโจรอีกครั้งหนึ่ง หัวหน้าโจรทนความอ้อนวอนไม่ไหว จึงรับไว้อย่างเสียไม่ได้ ต่อมาทางราชการ ได้เข้าไปปราบปรามโจรก๊กนี้ และได้ตัดสินลงโทษประหาร เพราะก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก แต่เนื่องจากโจรก๊กนี้มีมากมายหลายร้อยคน ไม่มีผู้ใดจะทำหน้าที่ประหาร ทางราชการจึงหาคนที่จะเป็นเพชฌฆาต โดยจะยกโทษให้สำหรับคนที่ทำหน้าที่ประหาร แต่ก็ไม่มีใครรับ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่า เป็นคนประหารเพื่อน ในที่สุดนายเคราแดง ก็รับอาสาอย่างหน้าตาเฉย สมดังลักษณะที่หัวหน้าโจรคาดการณ์เอาไว้ ต่อมานายเคราแดงก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเพชฌฆาต มีเงินเดือนประจำ มีหน้าที่ประหารโจรหลายก๊ก หลายเหล่า ที่ทางราชการจับมาได้ เป็นเวลาช้านาน กำลังวังชาลดน้อยถอยลงไป จึงได้รับการปลดเกษียณ ได้รับบำเหน็จเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร นายเคราแดงดีใจเป็นนักหนา จึงคิดเปลี่ยนบุคคลิกของตนเอง ด้วยการอาบน้ำอาบท่า โกนหนวด โกนเครา หาเสื้อผ้าใหม่ๆ มาใส่ ประแป้ง ทาน้ำหอม ด้วยอารมณ์แจ่มใส ให้ภรรยาทำอาหารที่อร่อย มาฉลองหน้าบ้านในเช้าวันหนึ่ง เช้าวันนั้น พระสารีบุตร ออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ก็ตรวจญาณเพื่อจะโปรดบุคคลที่เข้ามาอยู่ในข่ายญาณ ซึ่งปรากฏว่าเป็น นายเคราแดง
               ขณะที่นายเคราแดง กำลังรับประทานอาหาร พลันก็เหลือบเห็น พระสารีบุตรมาบิณฑบาต ณ หน้าบ้านตน จึงเกิดความคิดว่า “เราได้ทำบาป ทำกรรม ฆ่าโจร ฆ่ามนุษย์ไว้มาก ไม่ค่อยได้มีโอกาศทำบุญ ทำกุศลแม้เพียงครั้งเดียว วันนี้นับเป็นวันที่เราโชคดีหนักหนา เราควรถวายอาหารบิณฑบาต ดีกว่าจะบริโภคเสียเอง” เมื่อพระสารีบุตรได้ฉันอาหารเสร็จแล้ว ก็มอบข้าวก้นบาตรที่เลิศรสให้แก่นายเคราแดง รับประทานจนอิ่มหนำสำราญ จากนั้นก็แสดงโปรดธรรม แต่นายเคราแดงไม่อาจส่งจิตไปตามกระแสธรรมได้ พระสารีบุตรจึงได้แนะอุบายวิธี จนนายเคราแดง เกิดปัญญาใกล้ พระโสดาปัตติมรรค เป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา ต่อมานางยักขิณี ซึ่งมีเวรผูกกันแต่ชาติปางก่อน ได้เนรมิตตนเป็นแม่โคบ้า วิ่งโลดแล่นไล่ชน นายเคราแดง หรือนายวาตะกาลกะจนถึงแก่ความตาย แล้วนายเคราแดงก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร ณ สรวงสวรรค์ชั้นดุสิต นี่แหละเป็น พลังอำนาจของกรรมเบียดเบียนฝ่ายดี ที่เข้ามา ทำลายกรรมเบียดเบียนกรรมฝ่ายชั่ว ที่มีสภาพตรงข้ามกับตน ทำให้นายเคราแดงซึ่งฆ่าชีวิตมนุษย์มาตลอดชีวิต ซึ่งจะต้องตกนรกเป็นที่ไป แต่กลับกลายไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้า

๔. กรรมตัดรอน (อุปฆาตกรรมหรืออุปเฉทกรรม)
                กรรมใดที่ทำหน้าที่ฆ่ากรรมอื่นให้สิ้นสุดลงอย่าเด็ดขาด เรียกว่า “กรรมตัดรอน” หรือ “อุปฆาตกรรม”  พลังอำนาจของกรรมตัดรอน ก็มีสองอย่างเช่นเดียวกัน คือกรรมฝ่ายดี และกรรมฝ่ายชั่ว มีหน้าที่ตัดกรรมฝ่ายตรงข้ามกับตนให้สิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาด ซึ่งรุนแรงยิ่งกว่าพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียน อย่างเช่น บุคคลที่บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศ สรรเสริญ ฟุ้งเฟื่องเลื่องชื่อ เป็นที่นับถือแห่งมหาชนทั้งปวง แต่ครั้งกรรมตัดรอนฝ่ายชั่วตามมาทัน ก็จะเกิดพลังอำนาจ ให้เกิดภัยพิบัติอันตรายต่างๆ ยับเยิน ดังถูกพะเนินทุบตีถึงความพินาศในชั่วพริบตา หรือล้มตายหมดอายุ ในชั่วครู่เดียว ทั้งๆที่ยังไม่น่าจะตายเลย อย่างภาวะ เศรษฐกิจ IMF ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรานั้น ใช่ว่าจู่ๆจะเกิดขึ้นเอง ต้องมีเหตุปัจจัย การโกง การคอรัปชั่น ในวงการทุกวงการของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการเมือง วงการธนาคาร และวงการเศรษฐกิจ เมื่อถึงเวลากรรมให้ผล พลังอำนาจของมันทำให้เศรษฐีกลายเป็นยาจกกันระเนระนาด เงินหมื่นล้าน แสนล้านหายแว๊บไปในชั่วพริบตา ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า อันเป็นผลจากกรรมรวม หรือกรรมร่วม ของคนทั้งประเทศที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการเงินไว้
                 พระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์ มีระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางเวทหขันธเทวี เมื่อทรงพระครรภ์ มีอาการแพ้ท้องอยากดื่มพระโลหิตพระเจ้าพิมพิสาร แต่ก็ทรงเกรงกลัวและละอายพระทัยจึงสู้อดกลั้น จนพระวรกายซูบผอม พระเจ้าพิมพิสาร ทรงแปลกพระทัย จึงตรัสถามอยู่เนืองๆ จนรู้ความ จึงได้สละโลหิตประทานให้ พระอาการแพ้ท้องจึงระงับลง ฝ่ายโหราจารย์ก็ได้ทำนายว่า “พระราชโอรสองค์นี้ จักเป็นศัตรูกับพระราชบิดา” พระราชโอรสจึงได้พระนามว่า “เจ้าชายอชาตศัตรูกุมาร” ซึ่งแปลว่า “ยังไม่ประสูติก็เป็นศัตรูกับพระบิดาเสียแล้ว” พระมเหสีทรงเสียพระทัย จึงพยายามให้นวดเฟ้นทำแท้ง แต่พระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิโสดาบัน อริยบุคคลขั้นแรก ก็ได้ทัดทานไม่ให้กระทำบาปลงไป
              ครั้นพระราชโอรสประสูติ พระราชาธิบดี ก็ทรงเมตตารักใคร่เป็นอย่างมาก ทรงเอาใจใส่เลี้ยงดูเป็นอย่างดี จนพระกุมารเข้าสู่วัยรุ่น ในกาลนั้น พระเทวทัต ซึ่งมีเชื้อสายเป็นกษัตริย์ ได้บวชในพระพุทธศาสนา อุตสาหะบำเพ็ญธรรมจนสำเร็จฤทธิ์แห่งปุถุชน ยังไม่บรรลุมรรคผลข้างต้น คราวหนึ่งได้ตามเสด็จไปยังนครโกสัมพี  ซึ่งในคราวนั้น ได้เกิดลาภสักการะแก่หมู่สงฆ์เป็นจำนวนมาก ประชาชนไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี พ่อค้า คหบดี ข้าราชการ และชาวบ้านธรรมดา ต่างก็มุ่งถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ตนเลื่อมใส แต่จะหาคนเลื่อมใสใน พระเทวทัต นั้นมีน้อยมาก เนื่องด้วยเป็นปุถุชนอยู่ ถึงแม้จะมีฤทธิ์เดชก็ตาม จึงบังเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา ไม่อาจบำเพ็ญให้ก้าวหน้าต่อไปอีก แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ฤทธิ์จะเสื่อมไป ในที่สุดพระเทวทัต ก็ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปรากฏให้ พระเจ้าอชาตศัตรูกุมารเห็นเป็นกุมารน้อยที่มีอสรพิษ 7 ตัวพันอยู่ที่มือและเท้า 4ตัว ที่คอ 1 ตัว เป็นสร้อยสังวาลย์ 1 ตัว และแผ่พังพานอยู่บนศรีษะอีก 1ตัว แล้วก็เหาะทะยานขึ้นไปบนอากาศเวหาหาว จนเป็นที่อัศจรรย์ใจ นับแต่นั้นมา เจ้าชายอชาตศัตรูกุมาร ก็นับถือเลื่อมใส พระเทวทัตเป็นอาจารย์อุปัฏฐากด้วยสิ่งของจตุปัจจัยอย่างล้นเหลือ ต่อมาพระเทวทัต คิดจะปกครองสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า จึงเข้าไปทูลขอแต่ได้รับการปฏิเสธ จึงคิดหาอำนาจทางการเมือง เป็นฐานสนับสนุน โดยได้ไปยุยง เจ้าชายอชาตศัตรูกุมาร ให้ไปลอบปลงพระชนม์พระบิดา เพื่อยึดอำนาจราชสมบัติ เพราะการที่จะคอยสืบทอดพระราชสมบัตินั้น ไม่แน่นักเพราะอาจสิ้นอายุก่อนพระราชบิดาก็เป็นได้ ด้วยทรงพระเยาว์จึงหลงผิด แต่ก็ถูกจับได้ ถึงกระนั้น ด้วยการที่เป็นโสดาบันบุคคล พระเจ้าพิมพิสาร ก็ได้พระราชทานราชสมบัติให้ พระเทวทัตกลัวว่า พระเจ้าพิมพิสารจะเปลี่ยนใจได้ในภายหลัง จึงได้ยุยงฆ่าด้วยการให้จับขัง  ให้อดข้าว อดน้ำ แต่พระเจ้าพิมพิสารก็ยังไม่สวรรคต เพราะพระมเหสีได้ทรงจัดอาหารเข้าไปถวาย ด้วยการคลุมด้วยพระภูษาบ้าง ซ่อนไว้ในฉลองพระบาทบ้าง แม้กระทั่งเอาอาหารบดขยำทาพระวรกายบ้าง ในที่สุดพระมเหสีก็ถูกห้ามเข้าเยี่ยม
พระเจ้าพิมพิสาร ยังทรงปีติด้วยการเดินจงกรม แต่ก็ถูกพระเจ้าอชาตศัตรู สั่งให้กรีดฝ่าพระบาททั้งสองข้าง จนเสด็จสวรรคต สู่จาตุมหาราชิกาแดนสวรรค์ พระเจ้าอชาตศัตรู ผู้มีบาปหนัก เมื่อได้ทรงปิตุฆาตพระราชบิดาแล้ว ก็หาได้มีความสุขไม่ บาปหนักได้ปรากฏขึ้นนพระทัยอยู่เนืองๆ เมื่อสิ้นพระเทวทัต ที่ถูกธรณีสูบไปแล้ว ได้มีโอกาศฟังพระธรรมจากพระพุทธองค์ จึงเกิดความเลื่อมใส และสำนึกในบาปกรรมหนักที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้ จึงทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก การสังคายนาพระธรรมวินัย ภายหลังที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว โดยมีพระกัสสปะเถระเป็นประธาน ก็ได้อาศัยพระองค์นี่แหละเป็นผู้พระราชทานทรัพย์ทั้งปวง ถึงแม้ว่าพระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงสร้างบุญกุศลใหญ่หลวงขนาดไหน แต่อุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศล ที่พระองค์ให้ทรงฆ่าพระบิดา ตามคำยุยงของพระเทวทัต เข้าทำหน้าที่ตัดกุศลกรรมดีทั้งปวงของพระองค์ฉุดคร่าให้เป็นสัตว์นรก ลงสู่โลหกุมพีนรก เป็นเวลา 60,000 ปี
             ในทางตรงกันข้าม คนที่ยากจนอยู่แท้ กรรมตัดรอนฝ่ายดี ตามมาทัน ก็กลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาอย่างพรวดพราด เช่นถูกหวย 60ล้าน หรือได้มรดก 100ล้าน อย่างไม่รู้ตัวอย่างนี้ หรือบางคนทำบาปไว้มากมาย แต่สามารถสำเร็จอรหัตผลได้ เช่นองคุลีมาลเป็นต้น

๕. กรรมหนัก (ครุกรรม)
             กรรมหนัก หรือครุกรรม เป็นกรรมที่มีพลังอำนาจมากให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ และไม่มีกรรมใดมาขวางกั้นได้ มีพลังแรงอย่างเห็นทันตาในชาติปัจจุบัน และสามารถส่งผลถึงชาติหน้าได้ ในส่วนชั่วหรือบาปหนัก นั้นเรียกว่า อนันตริยกรรม ซึ่งมีอยู่ 5 ประการด้วยกัน คือ
1. สังฆเภท คือการที่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งหรือหลายรูป ได้กระทำการทำให้คณะสงฆ์ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไปมีความเห็นผิดตามคำยุยงแห่งตนไปกระทำสังฆกรรมต่างหาก ไปสวดพระปาฏิโมกข์ต่างหาก ผู้ทำสังฆเภทได้นั้น หมายเฉพาะ พระสงฆ์เท่านั้น แต่ถ้าผู้กระทำเป็นสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ชาวพุทธทั่วไป หรือคนภายนอกพุทธศาสนา นักปราชญ์ ขี้เหล้าเมายา ทิดบาเรียนทั้งหลาย ไม่จัดอยู่ในบาปหนัก ในข้ออนันตริยกรรมนี้ แต่บาปหนักนั้นก็เสมออนันตริยกรรม ในบรรดาอนันตริยกรรมนี้ สังฆเภท เป็นกรรมที่หนักที่สุดให้ผลก่อนอนันตริยกรรมประเภทอื่น และสิ้นสุดลงในชาติหน้าเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากได้ทำ อนันตริยกรรม ไว้หลายอย่าง ก็จะได้รับผลของ สังฆเภท อันเป็นกระทงที่หนักที่สุด และอนันตริยกรรมประเภทอื่นก็จะกลายเป็นอโหสิกรรม เมื่อสิ้นวาระของชาติหน้า
2. โลหิตปาท คือ การทำร้ายพระพุทธเจ้าจนเกิดอาการห้อเลือดขึ้นไป ในสมัยพุทธกาล พระเทวทัต ได้เป็นผู้กระทำ อนันตริยกรรมข้อ โลหิตปาท นี้จนถูกธรณีสูบตกนรกอเวจีไป ในสมัยปัจจุบัน ก็มีบาปหนักเสมออนันตริยกรรม แต่ไม่ใช่อนันตริยกรรม กล่าวคือผู้มีเจตนาชั่วร้ายใฝ่หากรรมอันเป็นบาปหยาบช้า ทำลายล้างวัตถุที่พระพุทธเจ้า เช่นทำลายพระพุทธรูป ทำลายเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทำลายต้นไม้มหาโพธิ์ นี่เองที่คนโบราณจึงไม่กล้าทำลายพระพุทธรูป หรือพระเครื่องถึงแม้จะแตกหักแล้วก็ตาม แต่ผู้มีบาปมากไม่กลัว สามารถตัดพระเศียรพระพุทธรูปได้ อย่างที่อยุธยา หรือทำลายทุบตัดแขนขา หรืออย่างที่พม่าเผาผลาญ พระพุทธรูปและเจดีย์เพื่อที่จะเอาทองคำ ในคราวสมัยอยุธยาแตก
3. อรหันตฆาต หรือ การฆ่าพระอรหันต์ บุคคลใดมีเจตนาชั่วร้าย ฆ่าพระอรหันต์ ได้ชื่อว่าเป็นอรหันต์ฆาตทั้งนั้นคฤหัสถ์ที่บรรลุธรรมวิเศษ เป็นพระอรหันต์ แต่ยังไม่ทันได้บวชเป็นพระสงฆ์ ผู้ใดฆ่าก็เป็นอนันตริยกรรม และถึงแม้ขณะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ท่านถูกทำร้ายด้วยอาวุธหรือยาพิษในน้ำดื่มหรืออาหาร เกิดทุกขเวทนา แล้วท่านได้กำหนดเอาทุกขเวทนามาเป็นบาทแห่งวิปัสสนา จนเกิดมรรคผลสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วดับผลสู่นิพพาน ผู้ทำร้ายย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์ อย่างไรก็ตาม ผู้ฆ่าพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ถึงแม้จะไม่ได้ชื่อว่า เป็นอรหันตฆาต แต่ก็มีบาปหนักเสมออนันตริยกรรม
4. มาตุฆาต คือ การฆ่าแม่บังเกิดเกล้าเท่านั้น แม่เลี้ยง แม่บุญธรรม แม่ยาย ไม่เข้าข่ายเป็นมาตุฆาต และต้องเป็นการฆ่าของลูกมนุษย์ต่อแม่มนุษย์เท่านั้น การที่สัตว์เดรัจฉานฆ่าพ่อแม่ของตนเองนั้นไม่จัดเป็นอนันตริยกรรม การฆ่าแม่ถึงแม้ว่าจะสำคัญผิดหรือไม่รู้ก็จัดเป็นอนันตริยกรรม
5. ปิตุฆาต คือการฆ่าพ่อบังเกิดเกล้า นัยเดียวกับ มาตุฆาต แต่ต่างกันตรงที่กรรมหนักใดจะเป็นผู้ให้ผลก่อน ธรรมดาแม่เป็นผู้อุ้มท้องลูกในครรภ์ จะมีใจอ่อนโยนเอื้อเอ็นดูอุ้มชูเลี้ยงลูก ได้รับความลำบากมากกว่าพ่อ ถึงจะชั่วช้าเลวทรามขนาดไหน ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณแก่ลูกมากอยู่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าแม่กับพ่อ เป็นคนดีมีธรรมเสมอกัน มาตุฆาต ย่อมให้ผลก่อนปิตุฆาต ยกเว้นในกรณีที่พ่อ เป็นผู้มีคุณธรรม มีศีลธรรมมากกว่าแม่ เท่านั้น ปิตุฆาต จึงจะให้ผลก่อนมาตุฆาต
อนันตริยกรรม มีพลังโทษมาก เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว และภายหลังรู้สึกสำนึกตนหวังให้พ้นทุกข์โทษในอเวจีมหานรก ด้วยการสร้างกุศลบุญใหม่ ก็ไม่มีอำนาจพอ ถึงแม้ว่าจะสร้างเจดีย์ทองคำสูงใหญ่ มากมายเต็มจักรวาล หรือจะถวายทานแก่พระสงฆ์ที่มีอยู่ในโลกทุกวันนี้ หรือโชคดีพบพระพุทธเจ้าแล้วเข้าอุปัฏฐากใกล้ชิดจนสิ้นชีพ ก็ไม่มีพลังอำนาจพอที่จะลบล้างอนันตริยกรรม ทั้งห้านี้ได้
สำหรับครุกรรมส่วนดีนั้น เรียกว่าบุญหนัก ได้แก่ การบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนถึงระดับปฐมฌาณ จนถึง จตุตฌาณ ซึ่งเป็นรูปฌาณ และบำเพ็ญอรูปฌาณ จนถึงระดับ อากาสานัญจายตนะ (เพ่งอากาศ) วิญญาณัญจายตนะ (เพ่งวิญญาณ) อากิญจัญญายตนะ (เพ่งความว่าง) เนวสัญญานาสัญญายตนะ (เพ่งความหลุดมิหลุดแหล่) ตามลำดับ ซึ่งพลังอำนาจของการบำเพ็ญฌาณที่สูงกว่า ย่อมให้ผลก่อน แต่การสำเร็จอรหันต์ ย่อมเหนือกว่า

๖. กรรมใกล้ตาย (อาสันนกรรม)
             กรรมใกล้ตาย เรียกว่า อาสันนกรรม ได้แก่กรรมที่กระทำก่อนใกล้จะตาย หรือการระลึกถึงกรรมที่เคยกระทำไว้ในเวลาที่ใกล้จะตาย ซึ่งมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว กรรมใกล้ตายนี้มีพลังอำนาจเป็นที่ 2 รองจากกรรมหนัก (ครุกรรม) คนบางคนเอาแต่โมโหโกรธาเป็นที่ตั้งทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ทั้งชกต่อยเตะถีบด้วยหมายฆ่าฟันผู้อื่นด้วยฤทธิ์โทโสแต่ฝีมือสู้เขาไม่ได้จึงถูกฆ่าตายเป็นผีตายโหง ขณะกำลังโมโหโกรธาอยู่ทีเดียว อย่างนี้เป็นกรรมใกล้ตายฝ่ายชั่ว ย่อมไปสู่ ทุคติ บางคนกำลังประกอบมิจฉาชีพอยู่ จะเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือปล้นทรัพย์ ลักทรัพย์ ก็ดี แล้วถูกเจ้าทรัพย์หรือตำรวจยิงตาย ก็เป็นกรรมใกล้ตายฝ่ายชั่ว เช่นเดียวกัน และไปสู่ทุคติ อย่างแน่นอน
            หรือบางคนตอนใกล้จะตาย ใจมัวแต่คิดห่วงสมบัติ ห่วงคนโน้น คนนี้ ด้วยกังวลและหงุดหงิด แถมยังโมโหอีกด้วย เหล่านี้เป็นกรรมใกล้ตายฝ่ายชั่ว มีทุคติเป็นที่ไป ทุคติคือภพของสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก บางคนเป็นคนดี ใฝ่กุศลเสมอ แต่เคยได้กระทำความไม่ดีไว้ในอดีตแล้วก็ลืมไปสิ้น ครั้งก่อนใกล้ตาย จิตพลันไปนึกถึงความไม่ดีนั้นจนจิตใจเศร้าสร้อย จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ก็เป็นกรรมใกล้ตายฝ่ายชั่วเหมือนกัน มีพลังอำนาจพาไปสู่ทุคติทันที
           บุคคลที่กระทำความดีอย่างสม่ำเสมอ และก่อนตายจิตก็ระลึกถึงความดีที่กระทำมาได้กรรมก่อนตายอย่างดี เป็นกรรมก่อนตายฝ่ายดี มีสุคติเป็นที่ บางคนตั้งแต่เกิดมาไม่ค่อยสนใจในบุญกุศล แต่ภายหลังเกิดศรัทธาคิดสร้างบุญใหม่ เช่นทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างศาลา พิมพ์หนังสือธรรมะ รักษาศีล เจริญวิปัสสนา จิตเพลิดเพลินอยู่ในบุญกุศลเหล่านี้ โดยที่จะสร้างเสร็จแล้วหรือยังไม่เสร็จก็ตามจนถึงวาระสุดท้าย เป็นกรรมก่อนตายฝ่ายดี มีสุคติเป็นที่ไป
              หรือแม้แต่ผู้เจ็บไข้ได้ป่วย รู้ว่าตัวเองไม่รอดแล้วเกิดใจคอไม่ดี เพราะขณะแข็งแรงอยู่เย็นเป็นสุขอยู่นั้นไม่เคยสนใจสร้างบุญกุศลเลย จึงคิดอยากทำบุญขึ้นมาทันใด โดยให้ไปนิมนต์พระสงฆ์มาเพื่อถวายทานบ้าง รักษาศีลบ้าง ฝึกสมาธิบ้าง เจริญวิปัสสนาบ้าง แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ค่อยได้ทำบุญสักเท่าไร แต่ก็เคยได่ทำบุญไว้บ้างนานแล้ว ลืมไปแล้ว แต่ว่าตอนใกล้ตายกลับระลึกถึงคุณงามความดีนั้นได้ ทำให้จิตใจชุ่มชื่น เหล่านี้เป็นกรรมก่อนตายฝ่ายดี สามารถไปสู่สุคติ ได้ สุคติ คือ ภพ มนุษย์ สวรรค์ พรหม นิพพาน

๗. กรรมที่ทำเป็นประจำ (อาจิณกรรม)
            กรรมที่กระทำบ่อยๆ หรือกระทำเป็นประจำเรียกว่า อาจิณกรรม หรือ พหุลกรรม ซึ่งมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว และแม้แต่การกระทำเพียงครั้งเดียว แต่การกระทำนั้นกินใจ หรือประทับใจอย่างรุนแรง จึงทำให้ต้องนึกถึงอยู่บ่อยๆ และเมื่อนึกถึงก็ประหนึ่งเหมือนเพิ่งกระทำลงไป อย่างนี้เป็นอาจิณกรรม เหมือนกัน
           คนมีใจบาปหยาบช้า กระทำความไม่ดีต่างๆ ด้วยกายบ้าง วาจาบ้าง ด้วยใจบ้าง แล้วตั้งหน้าตั้งตากระทำความไม่ดีนั้นอยู่เสมอ เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่เป็นประจำ ทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่นอยู่เป็นประจำ พูดโกหกพกลม ด่าว่า พูดให้ร้ายผู้อื่นอยู่เป็นประจำ คิดพยาบาท อิจฉาริษยา โลภมากอยู่เป็นประจำ ทำให้กลายเป็นคนสันดานเสีย พอกพูนความไม่ดีไว้มากมาย วันไหนถ้าไม่ได้กระทำกรรมอันชั่วช้าแล้วรู้สึกไม่สบายใจ กรรมชั่วที่พอกพูนไว้เสมอเหล่านี้ เรียกว่าอาจิณกรรมฝ่ายชั่ว
           หรือผู้กระทำความชั่วร้ายแรง โดยเมื่อแรกคิดว่าจะทำก็ทำด้วยความโกรธอย่างรุนแรง แล้วทำร้ายฆ่าฟันด้วยกำลังความแค้น กำลังความโกรธ และขนาดกระทำจนสมใจแล้วก็ยังไม่สิ้นโกรธสิ้นแค้น เวลาเลยไปนานแสนนานเพียงไรก็ยังไม่หายแค้น คิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ให้แค้นเมื่อนั้นไม่หายโกรธ ไม่หายแค้น แล้วจิตก็มักย้อนถึงการกระทำนี้อยู่บ่อยๆ ด้วยความคลั่งแค้นใจ นับว่าเป็นสิ่งกินใจที่ทำให้ขัดแค้นไม่รู้หมดรู้สิ้น
            อย่างที่เป็นข่าวโด่งดังในปัจจุบันนี้ก็มีอยู่เยอะแยะ อย่างเช่นผู้ที่ชอบ กระแนะกระแหนด่าว่าผู้อื่น ไม่มีใครดีในสายตาท่าน ยกเว้นตัวท่าน และคนที่เห็นด้วยกับท่าน
คนที่มีใจเป็นบุญกุศล มักชอบทำความดี ทั้งกายวาจา และใจ ชอบทำบุญสุนทาน ใส่บาตรพระทุกวัน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อรับศีล 5 แล้วก็ตั้งใจรักษาศีลไว้ไม่ให้ขาดหรือด่างพร้อย วันพระวันโกนก็ตั้งใจรับศีล 8 แล้วก็รักษาให้บริสุทธิ์ด้วยดี เมื่อเป็นชี เป็นพระสงฆ์ เป็นสามเณรก็พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์อยู่เสมอไม่ให้ขาด อีกทั้งหมั่นประกอบการกุศลในการเจริญภาวนาฝึกสมาธิ และเจริญวิปัสสนา บำเพ็ญปฏิบัติไปตามความสามารถของตน ตั้งหน้าตั้งตาสร้างกุศลผลบุญอยู่เนืองนิตย์ ไม่ว่างเว้น
           กรรมดีที่พยายามสร้างพอกพูนไว้ในสันดานของตนอยู่เรื่อยๆ เหล่านี้เรียกว่า อาจิณกรรมฝ่ายดี หรือกรรมที่ทำเป็นประจำฝ่ายดี
           สำหรับผู้ที่กระทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่วอยู่เป็นประจำ หรือเป็นคนดีแต่เคยทำชั่วไว้อย่างหนึ่ง จนไม่อาจลืมได้ เป็นสิ่งที่ฝังใจอยู่ตลอดเวลา คิดขึ้นมาก็เศร้าหมองใจทุกครั้งไป หรือเป็นคนชั่ว แต่ก็เคยทำบุญกุศลด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า ประทับใจมิรู้ลืม เมื่อจะไปเกิดใหม่ก็ขึ้นอยู่กับแรงของอาจิณกรรมของทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่วขณะใกล้ตาย จะชักนำไปทางไหน
           ถ้าอาจิณกรรมฝ่ายดี มีกำลังแรงกล้ามากกว่า ก็จะไปสุคติ ถ้าอาจิณกรรมฝ่ายชั่วมีกำลังแรงกว่า ก็จะไปทุคติ
           ยกตัวอย่างเช่น พระราชาที่ต้องรบทัพจับศึก ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งทรัพย์สินและผู้คนก็ปล้นชิง ทำให้เกิดความลำบากความทุกข์แก่ฝ่ายตนและฝ่ายตรงข้ามมากมาย แต่ขณะเดียวกันก็ทรงใฝ่ใจการกุศล ทำนุบำรุงช่วยเหลือประชาชน สมณะชีพราหมณ์อยู่เป็นประจำ หรือพระราชินีที่เป็นผู้มีเมตตา ทำบุญกุศลอยู่เสมอ แต่ต้องส่งเสริมอาชีพให้ชาวประชาปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ซึ่งทำให้ชีวิตของตัวไหมต้องสูญสิ้นไป
อย่างนี้ก็ต้องแล้วแต่ว่า อาจิณกรรมฝ่ายไหนจะแรงกว่ากัน ถ้าอาจิณกรรมฝ่ายดีมีพลังอำนาจแรงกว่า ก็ได้ไปสุคติ แต่ถ้าอาจิณกรรมฝ่ายชั่วมีพลังแรงกว่าก็ได้ไปสู่ทุคติ

๘. กรรมที่สักแต่ว่าทำ หรือกรรมไม่เจตนา (กตัตตากรรม)
            กรรมที่สักแต่ว่าทำ โดยผู้กระทำไม่มีเจตนา ไม่ได้มีความตั้งใจอย่างเต็มที่ คล้ายกับว่าไม่เต็มใจทำ เรียกว่า กรรมไม่เจตนา หรือกตัตตากรรม
เด็กทารกนั้น ยังไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ย่อมทำอะไรโดยไม่มีเจตนา หรือมีเจตนาอ่อน เมื่อมารดาอุ้มไว้บนตัก ก็เตะถีบหยิกข่วนมารดาไปตามประสาทารก อย่างนี้เป็นกรรมไม่เจตนาฝ่ายชั่ว และก็ต้องย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น
ชายผู้หนึ่งมีอาชีพทำนา วันหนึ่งชาวบ้านชาวเมืองได้พากันไปทำบุญ และทำการสักการะบูชาแด่พระพุทธเจ้า และได้ชักชวนชาวนาผู้นี้ด้วย แต่ชาวนาผู้นี้กลับมีความเห็นผิดมองเห็นว่า การไปทำบุญนั้นเป็นการเสียประโยชน์ เสียเวลาทำมาหากิน เสียเวลาไถนา แต่เมื่อถูกชักชวนหว่านล้อมมากๆ ก็เลยพูดประชดออกไป โดยไม่ได้มีเจตนาดูถูกดูหมิ่นพระพุทธเจ้าว่า “ถ้าพระพุทธเจ้าดีจริง แต่เราตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าท่านสามารถมาจับหางไถ ไถนาได้อย่างเราเมื่อไร นั่นแหละ จึงจะไปทำบุญด้วย” เหมือนยุคปัจจุบัน ที่มีผู้มาบอกบุญบ่อยๆ ด้วยความไม่อยากทำบุญ ก็จะพูดประชดประชัน และบางทีก็พาลหาเรื่อง กลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปเลยก็มี สำหรับตัวอย่างก็มีเช่น ได้มีผู้ศรัทธาสร้างผ้าคลุมเจดีย์ไว้อย่างสวยงาม พร้อมกับจารึกตัวอักษรไว้อย่างชัดเจน “อุทิศถวายพระเจดีย์”
ต่อมาได้มีพายุฝน หอบเอาผ้าผืนนี้ ไปตกบนที่นาแปลงหนึ่ง ครั้นเจ้าของนามาเห็นเข้าแทนที่จะนำไปคืนพระเจดีย์ กลับนำมาทำเป็นผ้าห่มด้วยถือสิทธิ์ว่าสมบัติสวรรค์ โดยไม่ได้มีเจตนาไปลักขโมยมา แต่ก็เป็น กตัตตกรรมฝ่ายชั่ว
เศรษฐีผู้หนึ่ง เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ยอมบริจาคทาน หรือสละทรัพย์ให้แก่ใคร และแม้แต่ตัวเองก็ไม่ยอมใช้จ่ายทรัพย์หากไม่จำเป็นจริงๆ อาหารที่บริโภคก็เป็นอาหารเลวๆ เสื้อผ้าที่ใช้ก็ปอนๆ ขาดกระรุ่งกระริ่ง รถราก็ใช้แต่รถเก่าๆ เมื่อมีเพื่อนเตือนให้รู้จักทำบุญสุนทานเสียบ้าง ก็จะบอกว่า “ขี้เหนียว ไม่ผิดกฏหมาย” ครั้นตายไปก็เกิดเป็นงูเหลือมเฝ้าทรัพย์
และแม้แต่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเขาถวายข้าวสารอาหารแห้ง ให้เป็นของสงฆ์ หรือที่เราเรียกว่า สังฆทาน แต่กลับนำของนั้นมาใช้หรือนำไปให้ผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาติจากสงฆ์ ก็เป็นกตัตตากรรมฝ่ายชั่ว พาไปสู่ทุคติ
ลองมาดู กตัตตากรรมฝ่ายดีบ้าง
             กบน้อยตัวหนึ่ง ได้ยินเสียงของพระพุทธเจ้าที่กำลังแสดงธรรม ก็เกิดความซาบซึ้งยินดีในน้ำเสียงนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีความเข้าใจในเนื้อความ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป
เหมือนกับพวกเราชาวพุทธ ที่ฟังพระสงฆ์สวดมนต์ ก็ให้รู้สึกปลื้มปิติจิตแน่วแน่ หารู้ความหมายในเสียงสวดมนต์นั้นไม่ แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลินใจมีความสุข อย่างนี้เป็นกตัตตากรรมฝ่ายดี เมื่อตายไปสามารถพาไปสู่ สุคติได้
             การจับมือลูกหลานให้ถือทัพพีใส่บาตรพระ การจับมือเด็กให้ประนมมือไหว้พระ หรือสอนให้ภาวนา พุทโธๆๆ ซึ่งทารกเหล่านั้นก็แสดงกิริยาบุญไปอย่างนั้นเอง หาได้รู้ว่าหรือมีเจตนาว่าเป็นสิ่งที่ดีมีคุณเป็นบุญเป็นกุศล เหมือนกับนกแก้ว นกขุนทอง นกสาลิกา สอนให้พูดภาษาคนได้ สอนให้สวดมนต์ได้ก็จัดเป็นกตัตตากรรมฝ่ายดี
              งูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า และได้มีพระสงฆ์ไปท่องสวดมนต์อยู่ทุกๆวัน งูเหลือมนั้นก็ชอบใจในเสียงสวดมนต์ ตั้งใจฟังอย่างเพลิดเพลิน กุศลกรรมนี้ก็เป็น กตัตตากรรมฝ่ายดี
            นกเค้าแมวตัวหนึ่ง ได้แลเห็นพระพุทธเจ้าออกมาบิณบาตด้วยอาการสำรวม สง่างาม ก็มีจิตรักใคร่ชอบใจ จึงออกบินไปส่งครึ่งทาง เป็นประจำตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ ณ ถ้ำที่นกเค้าแมวตัวนี้อาศัยอยู่ ไม่แต่เท่านั้น
           วันหนึ่งในเวลาเย็นใกล้ค่ำ ขณะตะวันกำลังสาดแสงสีเหลืองแดง นกเค้าแมวตัวนี้ถึงกับบินออกจากซอกถ้ำ ไปยืนอยู่หน้าพระพุทธองค์ พร้อมยกปีกซ้ายขวาประหนึ่งถวายความเคารพทั้งๆที่ไม่รู้บุญรู้บาป แต่กระทำไปเพราะอยากจะทำ อย่างนี้ก็เป็น กตัตตากรรมฝ่ายดี ที่นำไปสู่สุคติได้
            มีบุคคลอยู่จำพวกหนึ่ง ประเภทบุญไม่ทำ กรรม (ชั่ว) ไม่สร้าง ไม่ทำอะไรให้เดือดร้อนคนอื่น แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นมาละเมิดสิทธิของตน ก็จัดอยู่ใน กตัตตากรรม นี้เหมือนกัน จะดีหรือชั่ว ก็แล้วแต่เหตุการณ์และการกระทำของเขา บรรดาสัตว์บุคคลทั้งหลายที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี้ ย่อมต้องสร้างกตัตตากรรมนี้ทุกคน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับการให้ผลของกรรมกตัตตากรรม นี้เนื่องจากเป็นกรรมที่มีพลังอ่อนไม่มีเจตนาจึงไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน เพราะฉะนั้นเมื่อท่านใดไม่มี ครุกรรม (กรรมหนัก) อาสันนกรรม (กรรมก่อนตาย) อาจิณกรรม (กรรมทำเป็นประจำ) แล้ว กตัตตากรรม (กรรมไม่เจตนา) นี้ก็จะให้ผล อาจเป็นชาตินี้ หรือว่าชาติหน้า หรือชาติไหนๆ ก็ได้ครับ

๙. กรรมทันตาเห็นหรือกรรมที่ให้ผลชาตินี้ (ทิฐธรรมเวทนียกรรม)
               กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันหรือกรรมที่ให้ผลทันตา (ทิฐธรรมเวทนียกรรม) เป็นกรรมที่มีพลังอำนาจให้ผลในชาตินี้เลยทีเดียว ไม่มีแรงกรรมไปถึงชาติหน้าหรือชาติอื่นๆ มีทั้งที่ให้ผลทันตาภายในเจ็ดวัน (ปริปักทิฐธรรมเวทนียกรรม) และหลังเจ็ดวันล่วงไปแล้ว แต่ไม่ข้ามภพข้ามชาติคงให้ผลเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น (อปริปักทิฐธรรมเวทนียกรรม) ตัวอย่างเช่น
ชายยากจนเข็ญใจคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายมหาทุคคตะ ได้มีโอกาศถวายภัตตาหารแค่องค์สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับผลกรรมทันตาเห็นคือ ได้กลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยมหาศาลภายในเจ็ดวันนั่นเอง
              ชายยากจนเข็ญใจอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายปุณณะพร้อมกับภรรยาของเขา ได้มีโอกาศถวายภัตตาหารแด่องค์พระสารีบุตรมหาเถรเจ้า ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ พอถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ผลกรรมทันตาเห็น คือได้กลายเป็นเศรษฐีสมบัติมาก เกิดความร่ำรวยมหาศาลภายในเจ็ดวัน
              ชายยากจนเข็ญใจอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายกากวฬิยะ พร้อมกับภรรยาของเขา ได้มีโอกาศถวายภัตตาหารแด่พระกัสสปสังฆเถรเจ้า ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ พอถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ผลกรรมทันตาเห็น คือได้กลายเป็นเศรษฐีสมบัติม


 
      Back to Main Page - 2Candles.com