2Candles.com :: กระทู้ เทียนสองเล่ม

ชื่อผู้ใช้:
รหัสผ่าน:

 
      กรรม ๑๒ในดิถีปริวาส
 

กรรม ๑๒ในดิถีปริวาส


ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอรหันต์ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองนั้น

กัมมุนา วตตี โลโก แปลว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

ในวันนี้พวกเราทั้งหลายได้มาอยู่ดิถีปริวาสหรืออยู่กรรมตามพระปฏิบัติ หวังในใจว่าคงจะได้หมดเวรหมดกรรมกันเสียที เมื่อหวังเช่นนี้ก็จำเป็นต้องรู้หลักกรรม ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน

“เวร” แปลว่า จองหรือผูกใจจำ มีเพราะละเมิดศีล ๕ ได้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดในกาม กล่าวเท็จ เสพสิ่งมึนเมา ก่อเกิดเวรติดตามตนไปในภพน้อยภพใหญ่ และจะสิ้นสุดลงเมื่อมีกำลังปัญญาพอตัดใจรักษาศีล ๕ ประการ เป็นปรมัตถศีล รักษาศีลตลอดชีวิต อย่าที่พวกเรารับกันไว้ทีละข้อ สองข้อ หรือห้าข้อ ตามกำลังสติ ปัญญา สามารถ เราก็หมดเวรภัยลงแล้วอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย

คราวนี้หมด “เวร” แล้วไม่จองไม่จำทำเวรอีกแล้ว คงเหลืออยู่เพียง “กรรมและผลกรรม” เท่านั้น

“กรรม” ท่านอาจารย์ทั้งหลายแปลว่า การกระทำ และแปลว่าการงาน “กรรม” มี ๓ ประเภท ผมขออธิบายตามความเข้าใจ แล้วจะแสดงเทียบเคียงตามพุทธวจนะ ตามกำลังสติปัญญา

ข้อ ๑ “กรรม” มี ๓ ประเภท คือ

กรรมดี     : กัลยาณ การีฯ
กรรมชั่ว   : ปาปะ การีฯ
และกรรมกลางๆกึ่งดีกึ่งชั่ว : อัพยากตาฯ

กรรมทั้ง ๓ ประเภทนี้แบ่งตามกำลังเจตนาที่ทำลงไปเป็น ๔ ระดับเหมือนนักเรียนสอบเอาเกรดกัน จำเอาไว้แม่นๆ “กรรมจะอ่อนหรือแข็งอยู่ที่เจตนา” กรรมดี กรรมชั่ว
เกรด ๔ คือ แรงที่สุด
เกรด ๓ คือ แรงมาก
เกรด ๒ คือ แรง
เกรด ๑ คือ พอมีแรง

ทีนี้ “กรรมกลางๆล่ะแบ่งอย่างไร”  ก็แบ่งเป็น
• กรรมสักว่ากระทำไม่มีเจตนาเลย
• ทำไปตามหน้าที่ มีเจตนาทำตามหน้าที่เท่านั้น
• ไม่ได้ตั้งใจทำ แต่มานึกสะใจหรือยินดีในภายหลัง
• และมีเจตนาทำแบบให้ร้าย แต่เขากลับได้ดี ตนก็รับผลแบบนั้นด้วย หรือทำเป็นหวังดีประสงต์แต่ประสงค์ร้าย ตนก็รับผลแบบนั้นด้วยแน่นอน รวมความว่า กรรมมี ๓ ประเภท และมี ๔ เกรดนะครับ

ข้อ ๒ “กรรม"๓ ประเภท มีหน้าที่ ๔ อย่าง คือ

๒.๑ ตกแต่งกำเนิด 
บาลีเรียกว่า “ชนกกรรม” นักรู้เมื่อก่อนมักเรียกจะพูดว่า “รูปธรรม นามธรรม ผุดผ่องผิวพรรณ หรือรูปชั่วตัวดำมีกรรมเป็นเครื่องตกแต่ง”
• เกิดเป็นเชื้อสายบรมกษัตริย์ขัตติยา ทำบุญมาเกรด ๔ แน่นอน
• เกิดเป็นลูกเศษฐี มีบุญเกรด ๓
• ฐานะปานกลาง เกรด ๒
• มีกินไม่ค่อยมีเก็บ เกรด ๑
• เกิดมาพิการ ก็บาผมาก เป็นต้น
ให้ทานเกิดมารวย รักษาศีลเกิดมาคนนับถือ นั่งกรรมฐานเกิดมามีสติปัญญารอบคอบ ผิดศีลเกิดในอบายภูมิ ให้ทานรักษาศีลเป็นเทวดา มีสมาธิเป็นพรหม สมาธิที่ได้วิปัสสนาไปนิพพานเป็นต้น ทำให้เกิดวันอาทิตย์ วันจันทร์ เป็นลูกคนเล็กคนโต เกิดในฤดูต่างๆ ในปีต่างๆ ให้พวกนักทำนายทายทักกันถึงกรรมเก่าได้ เป็นต้น

๒.๒ ให้ความอุปถัมภ์
 บาลีเรียก “อุปถัมภกรรม” กรรมทั้ง ๓ ประเภทนั่นแลทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติประกอบกัน ร่วมกันเข้ามาอุปถัมภ์ให้มีคนรักมากมาย ให้พ่อแม่มีทรัพย์สินบริบูรณ์สามารถเลี้ยงดูได้ไม่ขัดสน สามารถส่งให้ศึกษาเล่าเรียนจบปริญญาตรี โท เอกไปเลย นี่ได้ลูกมีบุญ หรืออุปถัมภ์ให้ต้องไปอยู่เมืองนอก ให้ไปอยู่กับท่านผู้อื่น ให้ยาก ให้จน ให้คนเกลียด ให้พ่อแม่ต้องเอาไปทิ้ง โธ่...ถังฯลฯ

๒.๓ ให้ผลบรรเทาหรือมาเบียดเบียน หมายความว่าบรรเทาหรือเบียดเบียนอุปถัมภกรรมที่กำลังตกแต่งหรือตกแต่งมาแล้ว บาลีเรียกว่า “อุปีฬกกรรม” แล้วจะเข้ามาเบียนตอนไหน?  ก็จะเข้ามาตอนเริ่มมีอัตตานุทิฏฐิ เป็นตัวของตัวเอง เริ่มมีความเห็นของตนเองเป็นใหญ่ ก็ราวๆอายุ ๑๓ ปีทั้งหญิง ทั้งชาย
กรรมฆ่าสัตว์ ตามทันก็จะอายุสั้นพลันตาย
กรรมเบียดเบียนสัตว์ก็ป่วยไข้ทั้งยังแข็งแรงนี่แหละ
กรรมเล่นชู้ตามทันก็พลันเกิอุบัติเหตุ
กรรมโกหกตามทันก็จะถูกใส่ร้ายได้คดีความ
กรรมเสพของมึนเมาตามทันก็ปิดกั้นภูมิปัญญา เรียนช้า ไม่ถูกใจครู ไม่มีเพื่อนที่ฉลาดๆเป็นต้น
ถ้ากรรมดีมาอุปถัมภ์บรรเทากรรมที่ชั่ว ก็ให้รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนในระยะนี้ทำให้คนรักคนเมตตามากทำให้พ่อแม่หากินคล่องคล้อย ส่งเรียนได้ ทำให้ปลอดภัยมีโรคภัยก็กลับแช่มชื่นขึ้น รักษาหาย ได้ผู้รู้ช่วยสอน ทำให้มีสติปัญญาดีขึ้นเป็นต้น

๒.๔ กรรมมาตัดรอนกัน
 บาลีเรียก “อุปฆาตกรรม” กรรมชนิดนี้ที่ทำให้ขอทานกลับเป็นเศรษฐี ผู้ดีกลับตกยาก ราชากลายเป็นยาจก ปุถุชนกลายเป็นพระอริยะเจ้า เมื่อเป็นพระอริยะเจ้าแล้วก็พ้นกรรมประเภทนี้  แล้วกรรมประเภทนี้จะส่งผลเมื่อไหร่? ตอบว่า เริ่มส่งผลเมื่อร่างกายเจริญเต็มที่ คือมีกายะทิฏฐิเต็มที่แล้ว แพทย์บอกว่าประมาณอายุ ๒๕ ปีร่างกายเติบโตเต็มที่กรรมประเภทนี้ก็มาตัดรอน หนุ่มหล่อกลายเป็นคนพิการ สาวสวยเรียนต่อไม่จบเพราะมีครอบครัว หรือคนไม่มีบ้าน ไม่มีญาติ ก็กลับได้พบญาติหรือมีบ้านเรือนกับเขา คนที่ไม่เคยได้รับเกียรติก็กลับมีเกียรติ ได้รับการยอมรับ ได้รับความเชื่อถือเป็นต้น

ข้อ ๓. “กรรม”มีระยะเวลาให้ผลต่างกัน ๔ ระยะเวลา

๓.๑ กรรมเกรด ๔ เป็นกรรมหนัก
 บาลีเรียก ครุกรรม ให้ผลที่เป็นอนันตริยกรรม คือให้ผลยาวนาน ไม่มีที่สิ้นสุดเพราะกรรมครบองค์ ๕ คือ
๑.คิดวางแผน
๒.มีความจงใจหรือเจตนา
๓.ประทับใจหรือติดสัญญา
๔.ลงมือทำหรือมีผัสสะ
๕.ได้รับความสะใจหรือสมใจ เรียกเวทนา
ครบองค์ ๕ ข้อนี้รวมเรียกว่ามีเจตนาแรงกล้า ยังจำได้ไหมครับ “กรรมจะอ่อนหรือแข็งอยู่ที่แรงเจตตนา”

ข้างฝ่ายทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้นั้นสูงสุดที่สัฆทานและวิหารทาน ให้ผลยาวนานไม่สิ้นสุดเริ่มต้นชาติหน้าเป็นต้นไป
ข้างฝายศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีลอันเป็นปรมัตถศีลนั้นด้วย เป็นกรรมหนักเพราะยอมตายดีกว่าศีลขาด จึงเป็นอนันตริยกรรมให้ผลไม่สิ้นสุด พระบาลีว่า “สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลังวิโส ธะเย”ศีลปรมัตถ์แม้เพียงข้อเดียวส่งผลจนถึงพระนิพพาน
ข้างฝ่ายภาวนามัยบุญสำเร็จด้วยการนั่งสมาธิกรรมฐานจนได้รูปฌาน ๑-๔ และอรูปฌาน ๑-๔ รวมกันเรียกสมาบัติ ๘ ให้ผลตั้งแต่ชาตินี้จนถึงพรหมโลก และเป็นอุปนิสัยจวบจนนิพพาน ให้ยาวนานไม่สิ้นสุด

ทาน ศีล ภาวนา เหล่านี้เป็นกรรมที่ไม่เที่ยง อาจถูกอำนาจอกุศลมูล คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้าทำลายได้โดยอาศัยหน้าที่ของกรรมคือ แต่งกำเนิด เข้าอุปถัมภ์ เข้าเบียดเบียน เข้าตัดรอน มากระทำให้กลายเป็นความไม่เที่ยง

กรรมอันเป็นกรรมหนัก และเป็นอนันตริยกรรมให้ผลไม่สิ้นสุดนับตั้งแต่ เกิดแล้วตายแล้วและเกิดแล้ว และเป็นกรรมที่เที่ยง มีอยู่ฝ่ายละ ๕

 กรรมข้างฝ่ายกุศล ๕ คือ 
๑. อมตะธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพูทธเจ้า
๒. โสดาปัตติผล
๓. สกิทาคามิผล
๔. อนาคามิผล
๕. อรหัตผล
รวมอริยะบุคคล ๔ และอมตะธรรม ๑ เป็น ๕ เหล่านี้เป็นกรรมอันเที่ยงแท้ ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น มีผลแน่นอน ไม่กลับกลายไปตามอำนาจ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

กรรมข้างฝ่ายอกุศล บาปธรรมก็มี ๕ ประการคือ
๑. ฆ่าบิดาด้วยเจตนา
๒. ฆ่ามารดาด้วยเจตนา
๓. ฆ่าพระอรหันต์ด้วยเจตนา
๔. ทำให้หมู่คณะและพระสงฆ์แตกแยก ทะเลาะวิวาทจนเกิดสงครามรบพุ่งกันด้วยเจตนา
๕. ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิตด้วยเจตนา
รวมเรียกว่า อนันตริยกรรม ให้ผลจนถึงชาติสุดท้าย

๓.๒ กรรมเกรด ๓ เป็นกรรมที่ทำสม่ำเสมอ จึงให้ผลสม่ำเสมอ
บาลีเรียกว่า “อาจิณกรรม” เป็นกรรมที่ให้ผลรองจาก ครุกรรม อาจิณกรรมจะให้ผลยาวนานแต่มีกำหนดเวลา เช่น ใส่บาตรทุกวัน มีบุญเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประมาณ ๑๐๐ ปีดาวดึงส์ ก็เท่ากับ ๓,๖๕๐,๐๐๐ ( สามล้านหกแสนห้าหมื่น) ปีมนุษย์ ถ้ากินบุญจนหมดพอเกิดมาในมนุษย์  ก็จะยากจน ยิ่งถ้ามีอกุศลเหลืออยู่ด้วย ก็พาเลยลงไปเกิดในนรกนั่นเลยทีเดียว ส่วนคนที่บวชลูกเป็นภิกษุ อาศัยความตั้งใจที่เลี้ยงลูกมา ๒๐ ปี พอลูกบวช รู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม ได้เกิดในมนุษย์และเทวโลก๓๒ กัปป์ คือปิดประตูนรกไป ๓๒ แผ่นดินโลก หรือโลกเกิดขึ้นจนหมดอายุแตกทำลายไป ๓๒ ลูก เป็นไง นานจนลืมไปเลยไหม ปลูกต้นโพธิ์ ๑ ต้นพร้อมกับบำรุงรักษาจนเติบโตแข็งแรง ปิดประตูนรกไป ๙๔ กัปป์ เพราะร่มโพธิ์เป็นส่วนหนึ่งในการเผยแผ่และจรรโลงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ได้ประโยชน์แก่ส่วนรวมกว้างขวาง แต่รอยพิมพ์ใจอันนี้ก็ไม่ประทับแรงเหมือนสังฆทาน พระพุทธรูป และวิหารสังฆทานซึ่งให้ผลไม่สิ้นสุด อาจิณกรรมข้างฝ่ายบาป เช่น ยิงนก ตกปลา ฆ่าสัตว์ทุกวัน ก็ให้ผลนานแบบลืมญาติเลยเหมือนกัน กว่าจะหมดกำลังบาปลงได้

๓.๓ กรรมเกรด ๒ เป็นกรรมที่ทำเป็นครั้งเป็นที นานๆทำที
 บาลีเรียก “อุปัชชเวทนียกรรมและอปราปริยเวทนียกรรม”  ให้ผลในชาติหน้า ชาติที่ ๒ และชาติที่ ๓ ก็สิ้นสุดกำลังลง เช่น ทำบุญวันเกิด ทำบุญเข้าพรรษา ทำบุญออกพรรษา ขึ้นบ้านใหม่ ขึ้นปีใหม่ บุญสงกรานต์ เวียนเทียนในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชาเป็นต้น

 ข้างฝ่ายบาปก็เช่น ทหารยิงอริราชศัตรูตาย อันนี้ทำตามหน้าที่ เจตนาไม่แรงเท่าไรนัก ห่าสัตว์เพื่อเลี้ยงแขกงานต่างๆแบบนี้ นานๆทำที เต็มใจเลี้ยงแขก แต่ไม่เต็มใจฆ่าสัตว์ดอกนะนี่ แต่เอาเถอะเห็นว่านานๆทำทีก็ทำไป บางทีก็โกหกเพื่อเอาตัวรอด ผิดในกามเพราะเต็มใจทั้ง ๒ ฝ่ายกินเหล้าเข้าสังคมอานิสงส์กรรมเกรด ๒ ยากดีมีจนสลับกันไป เกิดเป็นเทวดาก็อยู่ในสวรรค์ได้ ๓-๗ วันสวรรค์ แล้วก็กระสันมาเกิดเพราะรู้ตัวว่าจะหมดบุญแล้ว ถ้าตกนรกพญายมเอาตัวไปสอบสวนแล้วเห็นว่าไม่เต็มใจทำบาปและพอมีบุญอยู่บ้างท่านก็จะบอกบุญ ตักเตือนให้คิดถึงบุญกุศลและสั่งว่าอย่ากลับมาที่นี่อีกนะ หรือไม่ก็เมาไหลตายไปตกนรกทันทีเขาก็เอาไปโยนลงหลุมนรกกรรมรวม พอโดนร้อนเข้าวิญญาณถึงสร่าง นึกได้ว่าไปงานบวชก็หลุดลอยออกมาก็มี ญาติทำบุญไปให้จึงหลุดพ้นออกมาก็มี กรรมเกรด ๒ นี้ มีโอกาสเป็นอโหสิกรรมได้ง่ายที่สุด โดยอาศัยอาจิณกรรม การกระทำสม่ำเสมอ เช่น สวดอิติปิโส ๑๐๘ ทุกวัน นั่งกรรมฐานทุกวัน ใส่บาตรทุกวัน รักษาศีลทุกวัน หรือทำครุกรรมเช่น สังฆทานพระพุทธรูป วิหารทาน ทำกรรมเกรด ๔ ครุกรรมและกรรมเกรด ๓ อาจิณกรรม มีกำลังเร็วและแรง และให้ผลก่อนกรรมเกรด ๒ คือ อุปัชชเวทนียกรรม และอปราปริยเวทนียกรรม จึงทำให้กรรมเกรด ๒ ตามไม่ทัน ภายใน ๓ ชาติ ต้องกลายเป็นอโหสิกรรมไปโดยปริยาย

๓.๔ กรรมเกรด ๑ คือกรรมที่ผู้กระทำมีความปรารถนาเล็กน้อย พอๆกับเจตนาที่ทำก็มีกำลังไม่มาก ขอเพียงแต่ให้ได้ทำเท่านั้น ความปรารถนาและการกระทำมีกำลังพอเหมาะกันจึงส่งผลเฉพาะใน้ชาตินี้เพียงครั้งเดียวแล้วก็สิ้นสุดหมดกำลังลง
กรรมชนิดนี้บาลีเรียก “ทิฏฐะธรรมเวทนียกรรม” กรรมทันตาเห็น หรือกรรมที่ให้ผลในภพชาติปัจจุบันเท่านั้น แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่ายคือ โลกียธรรม และโลกุตรธรรม ข้างละ ๔ ที่เป็นกรรมดีคือ

๑. อุฎฐานสัมปทา หมั่นเพียรขยันให้ถึงพร้อม ได้สมใจในปัจจุบันเป็โลกียธรรม
๒. อารักขสัมปทา  หมั่นเก็บออมและรักษาหน้าที่การงานของตนไว้ ได้สมใจในปัจจุบัน เป็นโลกียธรรม
๓.กัลยาณมิตตา  หมั่นคบหาคนดีที่แนะนำประโยชน์ ได้สมใจในปัจจุบัน เป็นโลกียธรรม
๔.สมชีวิตา  หมั่นเลี้ยงชีวิตแต่พอดี พอเพียง ได้สมใจในปัจจุบัน เป็นโลกียธรรม

ความสมใจที่พูดถึงนี้ก็คือ พอกิน พอใช้ สู้เขาได้ ฐานะดีกว่าคนฐานะปานกลาง หรืออาจถึงเป็นเศรษฐีได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ ก็ต้องพึ่งบุญกุศล ที่จะได้ผลทันตาคือการทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ในพระอภิธรรมปิฎกกล่าวไว่ว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ มี ๒ เป็น โลกียสมาบัติและโลกุตรสมาบัติ ฉะนั้นตั้งแต่พระโสดาบันอริยะบุคคลที่ทรงฌาน ท่านก็ต้องทำได้แน่นอน แต่มีกำลังไม่เท่ากัน ถึงอย่างนั้นก็เอาละ ขอพูดเฉพาะเรื่องทำบุญแล้วได้ผลในชาตินี้ก่อน


๑. ทำบุญกับพระโสดาบันออกนิโรธใหม่ๆ (คือท่านจะโปรดญาติธรรมให้มีโอกาสในบุญทันตาเห็น ท่านจึงเข้าสมาธิ แล้วอธิษฐานด้วยอิทธิบาทธรรม ยังความปรารถนาของผู้ทำบุญให้สมใจ และไม่นับว่าลำเอียงอะไร เป็นธรรมดาที่จะต้องสงเคราะห์ญาติ หรือสงเคราะห์ผู้มีบุญ) ได้สมใจในปัจจุบัน เป็นฝ่ายโลกุตรธรรม
๒. ทำบุญกับพระสกิทาคามี ออกนิโรธใหม่ๆ ได้สมใจในปัจจุบัน เป็นฝ่ายโลกุตรธรรม
๓. ทำบุญกับพระอนาคามี ออกนิโรธใหม่ๆ ได้สมใจในปัจจุบัน เป็นฝ่ายโลกุตรธรรม
๔. ทำบุญกับพระอรหันต์ ออกนิโรธใหม่ๆ ได้สมใจในปัจจุบัน เป็นฝ่ายโลกุตรธรรม และยังมีพิเศษอีก ๒ ข้อ ที่ให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ รวม ๑๐ ข้อ

ข้างฝ่ายกุศลคือ  
๑.ผู้ได้สมาบัติ ๘ อธิษฐานให้
 ๒.ใส่บาตรพระออกกรรมใหม่ๆ ท่านรับบุญให้


กรรมเกรด ๑ คือกรรมทันตาเห็น ข้่างฝ่ายอกุศลกรรมมี ๑๐ ข้อ คือ
๑. ทำร้ายมิตรผู้มีอุปการะ  ผู้ไม่ทำร้ายต่อ จะต้องก่อโทษทัณฑ์พลันฉิบหายในปัจจุบันชาติ
๒. ทำร้ายมิตรผู้แนะนำประโยชน์ ผู้ไม่ทำร้ายต่อ จะต้องก่อโทษทัณฑ์พลันฉิบหายในปัจจุบันชาติ
๓. ทำร้ายมิตรผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ผู้ไม่ทำร้ายต่อ จะต้องก่อโทษทัณฑ์พลันฉิบหายในปัจจุบันชาติ
๔. ทำร้ายมิตรรักใคร่ ผู้ไม่ทำร้ายต่อ จะต้องก่อโทษทัณฑ์พลันฉิบหายในปัจจุบันชาติ
๕. ทำร้ายบิดา ผู้ไม่ทำร้ายต่อ จะต้องก่อโทษทัณฑ์พลันฉิบหายในปัจจุบันชาติ
๖. ทำร้ายมารดา ผู้ไม่ทำร้ายต่อ จะต้องก่อโทษทัณฑ์พลันฉิบหายในปัจจุบันชาติ
๗. ทำร้ายครูอาจารย์ ผู้ไม่ทำร้ายต่อ จะต้องก่อโทษทัณฑ์พลันฉิบหายในปัจจุบันชาติ
๘. ทำร้ายผู้มีพระคุณ ผู้ไม่ทำร้ายต่อ จะต้องก่อโทษทัณฑ์พลันฉิบหายในปัจจุบันชาติ
๙. ทำลายศาสนวัตถุโดยเจตนา จะต้องก่อโทษทัณฑ์พลันฉิบหายในปัจจุบันชาติ
๑๐.ทำลายศาสนธรรมด้วยเจตนา  จะต้องก่อโทษทัณฑ์พลันฉิบหายในปัจจุบันชาติ


โทษทัณฑ์พลันฉิบหาย ๑๐ อย่าง คือ
๑. ป่วยไข้ได้เวทนากล้า
๒. ยศฐาน์พาสูญหาย
๓. ตัวต้องตายไปนรก
๔. บ้าใบ้เสียจริต
๕. มีควมผิดกฎหมาย ทำร้ายคน
๖. ถูกคนกล่าวตู่ สู้ไม่ไหว
๗. ถูกทำลายหมู่ญาติอนาถใจ
๘. ทรัพย์สุญหายไร้เหตุผล
๙. บ้านเรือนตนถูกไฟป่า
๑๐.เกิดมาทุกชาติขาดปัญญา

ถ้าชาติหน้าไม่มีก็แล้วไปเถอะ หรือถ้าไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีก็เสียใจด้วย แต่ถ้าเกิดมี ทำบุญไว้อุ่นใจหนอ

สรุปกรรม ๑๒ คือ  กรรมดี กรรมชั่ว กรรมกลางๆกึ่งดีกึ่งชั่ว มีกำลัง เจตนาแก่กล้าต่างกัน แบ่งเป็น ๔ เกรด มีหน้าที่ ๔ อย่าง มีระยะเวลาให้ผล ๔ ระยะเวลา

เทียบชื่อบาลี กรรม ๔ เกรด = ปากทานปริยาย
๑. กรรมเกรด ๔ กรรมแรงที่สุด = ครุกรรม
๒. กรรมเกรด ๓  กรรมแรงมาก = อาจิณกรรม
๓. กรรมเกรด ๒ กรรมแรง = อุปัชชเวทนียกรรม และอาสัณกรรม (กรรมก่อนตายเล็กน้อยมากำหนดภพ )
๔. กรรมเกรด ๑ พอมีแรงหรือสงเคราะห์ = ทิฏฐะธรรมเวทนียกรรม, กตัตตากรรมและอโหสิกรรม

กรรมมีหน้าที่ ๔ อย่าง       =กิจปริยาย
๑. กรรมตกแต่งกรรมเนิด    = ชนกกรรม
๒. กรรมสนับสนุน อุปถัมภ์  = อุปถัมภ์กรรม
๓. กรรมเบียดเบียน บรรเทา = อุปีฬกกรรม
๔. กรรมตัดตอน ตัดรอน    = อุปฆาตกรรม

ระยะเวลาให้ผล ๔ ระยะเวลา  = ปากกาลปริยาย
๑. ให้ผลไม่สิ้นสุด  = อนันตริยกรรม
๒. ให้ผลยาวนาน  = อปราปริยเวทนียกรรม
๓. ให้ผลชาติหน้า  = อุปัชชเวทนียกรรม
๔. ให้ผลในชาตินี้  = ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม

• ภาษาพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ = มากที่สุด
• ภาษาพระไตรปิฎก ๕๐๐ = มากพอสมควร
• ภาษาพระไตรปิฎก ๑๐๐ = จำนวนมาก

คำถาม -  มีความเชื่อว่า “สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม” แต่พวกหมอดูพวกโหราศาสตร์เขาก็ดู ไปตามดวงได้ถูกต้องหลายเรื่อง ควรอธิบายความเป็นไปตามกรรม ที่มีแต่ความเชื่อ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกรรมของตัวเอง ได้แต่ใช้คำนี้สอนใจ ทำใจให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหาคำตอบที่สรุปได้ยากหรือหาคำตอบอื่นไม่ได้ว่า  สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เดี๋ยวนี้หรือเมื่อก่อน ก็มีแต่คนเชื่อว่า ชีวิต “เป็นไปตามดวง” แล้วคนก็ไปพึ่งหมอดูกันมาก ถึงไปวัด แท้จริงเขาก็ไม่ได้ไปหาพระ หรือเชื่อพระ เพราะถ้าพระไม่ใช่หมอดูเขาก็ไม่ไปหา แสดงว่าที่จริงเขาเชื่อดวง แต่ก็ทิ้งเชื่อกรรมไม่ได้ เรื่องกรรมก็สอนดี ทำให้ใจสบายขึ้นหลายเรื่อง แต่ดวงก็บอกอะไรหลายอย่างที่จะมา จะเป็น จะไป ได้ไม่น้อย ขออภัยที่พูดมากนะครับ ขอความกรุณาอธิบายด้วยครับ

คำตอบ – ต้นกำเนิดเป็นไปตามดวงกับเป็นไปตามกรรม เป็นอันเดียวกันจึงมีความสามารถคล้ายๆกัน กล่าวคือ เกิดจากคน มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีกาย วาจา ใจ ใช้ไปได้ตามอายุเวลาหนึ่งแล้วก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา ความเกิดขึ้นของคน มีวันเกิด เดือนเกิด ปีเกิด เวลาเกิด เพื่อกำหนดนับอายุ วันเดือนปีเหล่านี้ ก็เกิดตามอำนาจชนกกรรมคือกรรมแต่งกรรมเนิด
 อำนาจกรรมแต่งกำเนิดให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เช่นมีบุญก็ให้เกิดในวันเคราะห์งาม พวกหมอดูเขาเรียกสุภะเคราะห์ เช่นให้เกิดภายในวันจันทร์ เพราะวันจันทร์งามเย็นตา แล้วก็วันพุธสีเขียวเย็นตา วันพฤหัสบดีสีแสด เหมือนสีจีวรพระดูแล้วอุุ่นใจ วันศุกร์สีฟ้าดูแล้วโล่งใจ เป็นต้น มีบุญชนกกรรมก็ตกแต่งให้เกิดในฤดูที่โลกกำลังมีพืชพรรณธัญญาหารเจริญ ก็เริ่มตั้งแต่เดือนมีนา เริ่มเห็นต้นไม้มีใบสีเขียวผลิออก ชื่นใจเรื่อยๆไป เมษายน พอพฤษภาคม ก็เจริญกิ่งก้านสาขา มิถุนายนเรื่อยไปจนถึงสิงหาคม นี่อุ้มบุญมาด้วย ถ้าถูกตามใจด้วยก็จะเคยตัว อาจเอาแต่ใจเสียคนมาก็มี ส่วนพวกที่มีบารมี เกิดมาสร้างบารมี ก็เกิดในฤดูหนาว ให้รู้อดรู้ทน อากาศมันแห้ง แผ่นดิน สายธารน้ำก็แห้งแล้ง ใบไม้ก็ร่วงดรยลงดิน เห้นมั๊ย นี่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นธรรมดา ธรรมชาติโดยแท้ เมื่อเกิดในวันเคราะห์ไม่งาม พวกโหรตั้งชื่อลงโทษว่า บาปเคราะห์ เช่นวันอาทิตยืก็ว่าร้อน สีแดง ก็ลองไม่มีดวงอาทิตย์ดูสิ จะได้พากันตายหมดโลก สีแดงก็บำรุงหทัยวัตถุ วันอังคาร สีชมพูก็ว่าร้าย หมายถึงขี้เถ้ากระดูก สีชมพูก็ว่าราคะกล้า ที่จริงลูกคนไหนเลี้ยงดูพ่อแม่จนแก่เฒ่าจนเข้าโลงเผาต้องเก็บกระดูกน่ายกย่องที่สุด เรื่องราคะปุถุชนก็มีกันทุกคน นี่แหละ อาทิตย์ อังคาร สร้างบารมี ทนให้เขาเข้าใจผิด  ยังมีวันเสาร์สีม่วง ก็ว่าเจ้าทุกข์ที่จริงดาวเสาร์เนาว์เขยจักรวาล ได้สร้างบารมีลดมานะทิฏฐิ ขยันเอางานทุกอย่าง รวยเป็นเศรษฐีบ้านนอกถมเถไป มีบุญประมาทไม่ได้ ถึงเกิดในเคราะห์งาม ฤดูงามก็เสื่อมถอยจากบุญได้ อาจอายุสั้นพลันตาย เกิดมาสร้างบารมี ถ้าไม่ประมาท เป็นคนทำอะไรๆเป้น ถึงเกิดในบาปเคราะห์ฤดูก็ไม่งามก้กลับจะงอกงาม เจริญๆไพบูลย์ ที่พูดมานี้จริงหรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่ ใช้ปัญญาไตร่ตรองดู ดวงเกิดจากชนกกรรม “สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม”

คำถาม – กรรมคือการกระทำ ขยันทำมาหากิน จะมีกิน ถ้าขี้เกียจจะยากจน ถ้าเรียนแล้วจะรู้ ไม่ยอมศึกษาเล่าเรียนจะโง่ รู้ไม่ทันผองเพื่อนทั้งหลาย ข้อนี้เชื่อกรรมแล้ว แต่ว่าชาติหน้า มีกรรมติดตามไป จะเชื่อได้อย่างไร

คำตอบ - พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ปุญญานิ ประโลกัสมิง ปติฏฐาโหนติ ปาณินัง บุญนี้ทำแล้ว ช่วยเราได้ในปรโลกแปลว่าโลกอื่น หรือโลกหน้า ชาติหน้า ฉะนั้นคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้ทำบุญ เพราะทำแล้วได้ชาติหน้า หรือว่าคนมีนาได้ทำนา คนมีบุญได้ทำบุญ เราก็เถียงขึ้นในใจว่า ชาติหน้าจะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้…ฏ้นั่นซี แะนั้นถ้าไม่มีก้แล้วไป แต่ถ้ามีก็ อืม…ทำบุญไว้แล้วอุ่นใจ อะไรๆก้มีเครื่องสนับสนุนให้เกิดมีขึ้นทั้งนั้น ผู้มีปัญญาจึงรู้ว่า อะไรมี อะไรเกิดขึ้น ก่อนมีก็ไม่มี ได้มีเกิดขึ้นตามเครื่องสนับสนุน โลกนี้ยังมีอายุอีกนาน ธรรมชาติที่เกื้อหนุนให้สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นยังมีอีกนาน คนอย่างเราก็ยังเกิดอีกนาน ใช่แต่เท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่ออีกด้วยว่ามีโลกอื่นอีก เพราะว่ามีดวงอาทิตย์ในแกแลคซี่จักรวาลอื่นอีก เครื่องสนับสนุนให้มีสิ่งมีชีวิตเกิด น่าจะมีอยู่ แต่ว่าในดาวอื่นมันขาดน้ำ ถ้ามีน้ำมันก้เกิดกันอีกล่ะน๊อ…คนมีกิเลสอย่างเราเกิดข้นได้อีกแล้วน๊อ…


 เอ้อ… เขาถามอะไรลืมแล้ว ท่านผู้ใดมีปัญญาพิจารณาด้วยใจเป็นธรรมสมาธิ ก็จะรู้ดำรินี้ได้ไม่ยาก เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้


 
      กลับหน้าหลัก - 2Candles.com