2Candles.com :: กระทู้ เทียนสองเล่ม

ชื่อผู้ใช้:
รหัสผ่าน:

 
      เรื่องเล่าจากอาจารย์จัสติน
 

จาก ประสบการณ์จริง ยิ่งกว่า นิยาย


     ครั้งแรกที่ผม เริ่มเข้าใจ เรื่องธรรม เมื่อตอนผมอายุ 30 ก่อนนั้นผมเป็นพวกบ้าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี  ผมหมดเงินกับสิ่งของเหล่านั้นเยอะมากและผมเองก็ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับพวกเทคโนโลยีได้กำไรมามากพอสมควร เมื่อตอนผมเรียนที่มหาวิทยาลัยที่อเมริกาเพื่อนๆและผมจะชอบ Upgrade เปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์บ่อย ชอบไปฟังผู้มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เขามาบรรยายที่มหาวิทยาลัยหรือที่ต่างที่พวกผมสามารถไปได้ อย่างเช่น Workshop ของ Bill Gate เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ในด้าน software computer หรือนักธุรกิจ นักการเมืองใหญ่ๆ เช่น Donald Trump, Ross Perot, Bill Clinton, and Al Gore เป็นต้น 

 

     ส่วนเรื่องศาสนา ผมรู้เพียงว่าผมนับถือศาสนาพุทธ รู้ประวัติพระพุทธเจ้านิดหน่อย สวดมนต์ได้แต่ นะโม 3 จบ ไปวัดก็ไปบ่อยแต่แค่ไปส่งแม่แล้วก็กลับ ทำกิจกรรมนิดหน่อยที่วัดถ้าแม่บอก(บังคับ) เหตุผลผมมีเยอะมากที่จะไม่ไปวัดเมื่อแม่ชวนไปตักบาตร จนบางครั้งผมทำให้แม่น้ำตาซึมเลยละครับ เพราะเสาร์อาทิตย์จะเป็นวันนัดพบกันที่วัดของคนสูงอายุที่ต่างประเทศ จันทร์ ถึง ศุกร์ก็อยู่บ้านเลี้ยงหลานบ้าง เฝ้าบ้านให้ลูกเพราะไปไหนก็ไม่ได้ ขับรถไม่เป็น คนแก่ที่ต่างประเทศน่าสงสารมากครับ ส่วนผมเองวันหยุดก็อยากพักผ่อน ดูบอล ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปซ้อมดนตรี แม่อยากไปไหนต้องบอกผม บ่นกันยกใหญ่กว่าผมจะไป แต่ถ้าเพื่อนชวน 15 นาทีถึง ยิ่งเป็นพ่อแม่เพื่อนผู้หญิงนะ เอาเป็นว่า 5 นาทีถึงแน่นอนครับ หลังจากผมจบมหาวิทยาลัยแล้ว ทำงาน ก็มีโอกาสเดินทางไปประชุมบ่อย ไปไหนมาไหน ไม่เคยบอกแม่หรือว่า กอดแม่เลยครับ แต่ตอนนั้นผมมีแฟนผมโทรไปบอกเขาว่าผมอยู่ไหนตลอดเวลาเลยครับ แม่ผมจบ ป 4 ที่นครพนม ผมเองก็อายไม่อยากให้แม่คุยกับเพื่อนผมเพราะกลัวแม่เปิ่น อาย อ๋อ โทษที พ่อผมเสียตั้งแต่ผมอายุ 3 ขวบแล้วครับ


 

     ผมเป็นคนค่อนข้างเชื่อคนยาก ทุกอย่างต้อง พิสูจน์ ต้องเห็นเอง ทำเองเป็น หรือว่าต้องรู้วิธีทำ ผมชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะในห้องน้ำ ความรู้ผมที่ได้ในห้องน้ำเยอะมากครับ ชินตั้งแต่ มัธยม แล้ว และหลังจากผมจบมหาวิทยาลัยก็ได้ ทำงานเกี่ยวกับ ค้นคว้า วิจัย เกี่ยวกับเรื่อง Alcohol Tobacco and Other Drug และ Gang ที่เกี่ยวกับคนเอเชีย ในอเมริกา 5 ปี   ช่วงนั้นเริ่มได้เดินทางมาที่เมืองไทย ช่วงพักร้อน ส่วนมากถ้ามาเมืองไทยก็คงหนีไม่พ้นเที่ยว วัดต่างๆ ผมคิดว่าผมไปเที่ยววัดในเมืองไทย ไม่ต่ำกว่า 1000 วัดครับ เพราะถ้าเราไปเยี่ยมใครในเมืองนั้น เขาไม่พาเราไปเที่ยววัด ก็พากันไปกิน ยิ่งอาหารไทยอร่อยมาก น้ำหนักผมขึ้นแบบไม่คิดที่ลดลง ตั้งแต่นั้นมาครับ หุ่นนักกีฬา เทนนิส เหรียญทอง ไม่เหลือเค้าเลย บอกใครแทบไม่มีคนเชื่อว่า เพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกัน 3-4 ปี จำกันไม่ได้เลยครับ ผมต้องนั่งเล่าเรื่องเก่าๆให้เขาฟังจนกว่าจะรู้ว่าเป็นผม เฮ้อ......


     แล้ววันหนึ่ง ชีวิตผมก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะวันนั้นผมไปเที่ยวที่ พิษณุโลก ไปเที่ยววัดตามเคยครับ ไปที่วัด ศรีมหาธาตุ ไปกราบพระพุทธชินราช หลังจากผมออกจากวัดได้นิดเดียว ผมก็ได้รับโทรศัพท์จาก อาจารย์ จอร์จ ท่านเป็นครูศิลปะ ที่เก่งมากท่านหนึ่งโทรมาถามว่าผมอยู่ที่ไหน ผมก็บอกว่าผมมาเที่ยว พิษณุโลก อาจารย์ก็บอกว่า ลองไปเยี่ยมพระรูปนี้สิ ท่านเป็นพระที่เก่งมาก  ทีแรกผมก็บอกไปว่าผมจะเที่ยวอีกหลายวัดและจะไปเที่ยวที่สุโขทัยด้วย แต่สุดท้ายผมก็รับปากว่าผมจะลองไป เพราะยังไงผมก็อยู่ที่นี่แล้ว ผมก็ขับหลงทางไปเรื่อยๆ ถามทางไปเรื่อย ในที่สุดก็ถึงวัด เป็นวัดที่ยังห่างไกลความเจริญมากในตอนนั้น ถนนก็เป็นถนนดิน กรวด ฝุ่น ฟุ้งไปทั่ว แล้วผมก็เข้าไปกราบพระในโบสถ์แล้วก็ถามหา อาจารย์อ๊อด ว่าองค์ไหน  ในความคิดผมตอนนั้น ขนาดอาจารย์จอร์จแนะนำมาและบอกว่าเป็นพระที่เก่งมาก คงเป็นพระแก่ๆ หลวงตา ทำนองนั้น ผมก็เหลือบเห็นพระรูปหนึ่ง หน้าตาผ่องใส เขียนอะไรก็ไม่รู้ที่กระดาน แต่เป็นพระหนุ่ม ผมก็เลยไม่คิดว่าท่านไม่น่าใช่ พระอาจารย์อ๊อด ที่อาจารย์จอร์จแนะนำมา สักพักหนึ่งก็มีพระรูปหนึ่งเข้ามาทักผม แล้วถามว่ามาหาใคร ผมก็ตอบไปว่า มาหาพระอาจารย์อ๊อด อาจาร์จอร์จบอกให้มา พระรูปนั้นก็เลยบอกว่าพระที่เขียนกระดานอยู่นั่นแหละคืออาจารย์อ๊อด

 

     ตอนนั้นผมก็รู้สึกเสียใจนิดๆเหมือนกัน อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล ไม่รู้ตอนกลับจะกลับถูกทางหรือเปล่า ก็ไม่รู้ ก็ผิดหวังนิดๆ แต่ว่าพระรูปนั้น ก็คุยกับผมเรื่องต่างๆ  เออท่านมีความรู้ดี และท่านก็บอกว่าท่านชื่อหม่อม เป็นเพื่อนกันกับอาจารย์จอร์จ เรียนโหราศาสตร์รุ่นเดียวกันกับอาจารย์อ๊อด เหรอ...  กำลังใจผมเริ่มดีขึ้นมานิดหนึ่ง ผมสนทนากับอาจารย์หม่อมนานพอสมควร แล้วอาจารย์อ๊อดก็เข้ามาคุยกับผมด้วย ตอนนั้นผมมีโอกาสผมเป็นมนุษย์คำถามเดิมอยู่แล้ว ก็เริ่มถามอาจารย์เลยครับ แล้วท่านก็ตอบผมอย่างมีเหตุมีผลที่ดีมาก ใช้ภาษาที่ผมเข้าใจ ผมก็ถามปัญหาที่ผมค้างคาใจมาตลอดชีวิต เรื่องศาสนา เช่นทำไมต้องบวช ทำไมต้องไหว้พระ ทำไม ทำไม ทำไร อีกประมาณร้อยกว่าคำถามครับ ท่านกรุณาตอบผมตอนนั้นเป็นเวลา 3 ชั่วโมงเต็มๆเลยครับ จนผมไม่มีคำถามที่จะถามเลยครับ ในใจผมคิดว่าผมเจอของจริงเสียแล้ว เดิมผมเป็นคนชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆอยู่แล้ว


     หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ผมตัดสินใจบวช....ใช่ครับ "บวช"กับพระอาจารย์อ๊อดเพราะผมคิดว่าเป็นทางเดียวที่ผมจะสามารถเรียนรู้จากพระอาจารย์ได้ และผมก็อยากให้อาจารย์ได้รู้ว่าผมนั้นมีความตั้งใจขนาดไหน วันแรกผมต้องออกไปบิณฑบาตลำบากมากๆสำหรับผม เพราะต้องตื่นตอน ตี 4 แล้วต้องเดินหลายกิโลเมตร ไม่ใส่รองเท้าเดินบนถนนที่เต็มไปด้วยกรวด Oh my Gosh! ผมอยู่อเมริกาหลายสิบปี ไม่เคยเดินถอดรองเท้าเลยครับ แถมพระที่เดินนำหน้า เดินเร็วมากครับ อีกอย่างพระห้ามนุ่งกางเกงในด้วย พอนึกภาพออกนะครับ เดินไปก็กลัวผ้าจีวรหลุดบ้าง กลัวบาตรตกบ้าง อีกความคิดหนึ่งก็คือ ฉันมาอยู่ทำอะไรที่นี่ ตอนนั้นความคิดผุดขึ้นมาในหัวคง เป็นร้อยร้อย ว่าทำไมฉันต้องมาลำบากอย่างนี้  แต่อีกความคิดหนึ่งก็คือเป็นประสบการณ์ที่คนในกรุงเทพหรือคนที่อยู่ต่างประเทศคงไม่มีทางได้รู้ได้ สัมผัสกับธรรมชาติอย่างนี้ หลวงพีหลายองค์ก็น่ารักมากพยายามเดินรอรู้ว่าผมไม่ชิน และตอนเวลาให้พรผมก็ทำปากขมุบขมิบดูเหมือนสวดเป็น ชาวบ้านก็จะใส่บาตรด้วยข้าวร้อนๆท่านเอ๋ย พระใหม่ฝรั่งดองอย่างผมเกือบทำบาตรหลุดหลายครั้ง อนิจจัง ยังพอมีบุญกับเขาบ้าง สาธุ ไม่เคยทำบาตรหล่นเลย

 

     วันแรกที่บวชไม่รู้เลยว่าพระต้องทำอะไรบ้างอยากเข้าไปคุยกับอาจารย์แต่ไม่กล้าก็คุยกับหลวงพี่ไปเรื่อยๆ ตอนเย็นก็ทำวัตรเย็น ตอนนั้นผมสวดมนต์ได้อยู่บทเดียว นะโมฯ 3 จบ และก็จำ ศีล 5 ได้นิดหน่อย ตอนสวดมนต์ก็มีหลวงพี่เขาช่วยเปิดบทสวดมนต์ให้ จริงๆนะครับพระพลวงพี่ทุกองค์น่ารักมาก ท่านคงสงสารผมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย หลังจากสวดมนต์เสร็จก็ ......หิวมากครับ ไม่เคยอดข้าวเย็น หิวๆๆๆๆ พระอาจารย์อ๊อดบอกว่า ถ้าทนไม่ไหวจริงก็ทานได้ ผมตั้งใจมาดีแล้วต้องได้ เราต้องทนได้ ก็เลยทานโอวานติล ช่วยได้เยอะครับ หลังจากนั้นก็กลับไปที่กุฏิ ตอนนั้นวัดยังไม่ได้พัฒนา เหมือนปัจจุบัน ไฟก็มีสลัวๆ กลัวผีก็กลัว ก็พนมมือขึ้นแล้วอธิษฐานว่า ท่านผีทั้งหลายอย่าได้มาให้ผมเห็นนะ ผมเป็นรู้ว่าพระนั้นไม่ควรวิ่ง แต่ถ้าท่านปรากฏตัวให้ผมเห็น ผมวิ่งจริงๆด้วย โชคดีครับ แรงอธิษฐานผมได้ผล ตลอดระยะเวลาที่ผมบวช คุณผีไม่เคยรบกวนผมเลย

 

     ช่วงตอนตี4 ทีกุฏิผมจะมีนกแสกมาร้องทุกวัน ผมเคยได้ยินมาว่า ถ้านกแสกร้องบนหลังคาบ้านไหน ที่นั่นจะมีคนตาย Oh no! ตอนนั้นผมคิดไปต่างๆนาๆ ครับ  ถ้าท่านใดเคยได้ยินเสียงนกแสก สำหรับผมเป็นเสียงที่น่ากลัวมาก  รุ่งเช้าผมก็ถามหลวงพี่ ท่านก็บอกว่านกแสกเขาก็มาร้องที่นี่ทุกวันแหละ เฮ้อ ค่อยยังชั่ว นึกว่าถึงเวลาที่เราจะต้องจากโลกนี้ไปเสียแล้ว


      สองวันแรกที่บวชผมก็ยังไม่เรียนอะไรกับอาจารย์อ๊อดเพราะผมเองก็ไม่กล้าไปคุยกับท่าน จนวันที่ 3 ผมตัดสินใจเข้าไปคุยกับท่าน ถามเรื่องธรรมะ แล้วก็โยงมาถึงเรื่องโหราศาสตร์ผมรู้สึกว่า วิธีอธิบายเรื่องโหราศาสตร์ของท่านอาจารย์ง่ายต่อการเข้าใจเพราะผมเคยซื้อหนังสือพวกนี้มาอ่านหลายเล่มแต่ไม่เข้าใจเลย เช่น ท่านบอกว่า โหรา แปลว่า เวลา ศาสตร์ แปลว่า ความรู้ แล้วท่านก็มีวิธีจำแบบฝรั่งดองอย่างเข้าใจ ท่านเคยถามผมว่า ผมรู้จัก คำว่า ขันธ์ 5 ไหม? ผมตอบอย่างมั่นใจมาก รู้จักครับ ก็คือ ขันน้ำ  5 ใบ ครับ ..... ตอนนั้นอาจารย์ท่านคงกลุ้มใจ  ท่านบอกว่า ปกติความรู้ขนาดนี้(ไม่มีเลย)  ท่านไม่สอนหรอกเสียเวลา แต่ด้วยความที่ผมตั้งใจ ท่านก็จะสอนแล้วแต่บุญแต่กรรมก็แล้วกัน ท่านก็เลยเริ่มสอนให้ผม ก่อนสอนท่านจะเล่าความเป็นมาก่อน เราต้องรู้ที่มาที่ไป เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งผมชอบมาก เพราะผมไม่ชอบในการสอนแบบจำ ผมชอบทดลอง เหตุและผล เวลาอาจารย์ท่านจะสอนผมแต่ละศาสตร์ท่านก็จะเล่า ประวัติ ก่อน ให้ผมวาดภาพในสมองได้ ให้ผมเข้าใจธรรมชาติ ของแต่ละอย่างก่อน ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่า ท่านกำลังสอนธรรมะผมอยู่ นั่นก็คือ “ธรรมะ คือ ธรรมชาติ” ผมก็เพิ่งรู้ตอนนั้นแหละครับแหละครับ แล้วท่านละรู้แล้วหรือยังว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนนั่นก็คือ "ธรรมชาติ" บางครั้งท่านก็สอนโหราศาสตร์ บางครั้งท่านก็สอนเรื่อง สมุนไพร ท่านถามผมว่า รู้จักคำว่าสมุนไพรไหม ทุกท่านคงตอบอย่างผมว่า “รู้จัก” ท่านก็สอนต่อไปว่า "สมุนแปลว่าลูกน้อง" แล้ว "ไพรแปลว่าป่า" หรือ ต้นไม้ใหญ่ ถ้ารวมกัน ก็เป็น “ลูกน้องป่า” แล้วสมุนไพรที่เราทานนั่นล่ะ สมุนไพรหรือสมุนบ้าน กันละครับ ท่านลองนึกถึงรสชาติของปลาแม่น้ำกับปลาที่เลี้ยงในกะชัง ปลาพันธุ์เดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน แต่ รสชาติ ต่างกัน ครับ แต่ผมจำไม่ได้ว่าตอนนั้นท่านใช้ตัวอย่างอะไร แต่ก็ประมาณนี้แหละครับ ผมก็นึกในใจว่าผมเองก็กลายพันธุ์หน้าไทยแต่ใจเป็นฝรั่งไปเสียแล้ว

 

     ตอนที่ผมเรียนเรื่องสมุนไพร ท่านถามผมว่า รู้จัก ต้นตำลึงที่จะนำมารักษาโรคเก๊าท์ไหม? ผมตอบอย่างมั่นใจเลยครับว่า “ไม่รู้จักครับ” รู้จักทิ้งถ่อนไหม ? รู้จักใบกากะทิงไหม?  คำตอบของผมเหมือนเดิมครับ “ไม่รู้จักเลยครับ” อาจารย์ท่านก็พาผมไปดูต้นจริงๆ โชคดีครับที่วัดปลูกไว้ ได้เรียนรู้จากของจริงเลย บางวันท่านก็สอนผมเรื่อง กสิณ  การนั่งสมาธิ วิธีแมะ โหราศาสตร์บ้าง สลับกันไป เวลานั้นก็ผมก็จดอย่างเดียวครับ ไม่เข้าใจอะไรก็ถามเลย ผมติดนิสัยฝรั่ง ถ้าไม่รู้ ก็คือต้องถาม ผมจดไว้เยอะพอกลางคืนผมก็อ่านทบทวนถ้าไม่เข้าใจก็ถามอาจารย์วันรุ่งขึ้น

 

     หลายครั้งครับที่ผมเองก็อ่านลายมือภาษาไทยผมไม่ออก บางครั้งจดไว้แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร ผมก็ถามอาจารย์จนเข้าใจ ก็เขียนภาษา อังกฤษกำกับไว้ ผมชอบการเรียนกับอาจารย์อ๊อดมากครับ ท่านรู้เรื่องที่ท่านสอนจริงๆ ประมาณวันที่ 5 มีพี่นักบินมาทีวัด อาจารย์ท่านรับแขกท่านอยู่พี่เขาก็เลยมาคุยกับผม ผมก็เลยมีโอกาสใช้ธรรมะและโหราศาสตร์ที่ผมเรียนมาหมาดๆกับพี่นักบิน คุยกันไปพอสมควรผมก็ทายโน่นทายนี่คุยธรรมะบ้างเรื่องเหตุและผล ประวัติต่างๆ จนพี่เขานึกว่าผมบวชหลายพรรษา ดูเหมือนตอนนั้นพี่เขาให้ความเคารพผมมาก ก่อนกลับพี่เขาก็ถามผมว่าผมบวชนานแล้วสิ ผมก็บอกว่า ผมเพิ่งบวชได้ 5 วันเอง ผมรู้ได้เลย สีหน้าพี่เขาเปลี่ยนไป   ดูเขาผิดหวังนิดๆ แต่เขาก็ชมผมว่า ผมรู้เยอะจัง จริงๆแล้วผมได้ครูดีครับ ที่ผมสนทนากับพี่เขา ผม copy คำพูดอาจารย์มาล้วนๆ ครับผม  

 


 

รอตอนต่อไปนะครับ วันนี้เล่าแค่นี้ก่อน ยังมีอีกเยอะครับ




    


  



 


 
      กลับหน้าหลัก - 2Candles.com