ฤกษ์ที่ ๒ ดาวภารณี
นิทานนี้สืบเนื่องมาจากฤกษ์ที่ ๑ ความว่าอาจารย์ของบุตรเศรษฐีนั้น ครั้นถึงกาลมรณะแล้ว ก็ไปเกิดเป็นสตรี มีศิริลักษณ์วิจิตรยิ่งนัก มีนามว่านางภารณี สำนักอยู่ที่ทิศอีสานของพระนครแห่ง ๑ การที่เป็นทั้งนี้ด้วยอกุศลกรรมที่สอนศิลปศาสตร์อันเป็นบาปมาแต่ปางหลัง จึงต้องบังเกิดเปลี่ยนเพศเป็นสตรีภาพไป พระมหากษัตริย์แห่งพระนครนั้น มีพระหฤทัยสิเนหานางภรณี จึงได้ตั้งไว้ในตำแหน่งพระมเหษี อยู่มามินานนางก็ทรงครรภ์ พระมหากษัตริย์จึงทรงจัดให้มีผู้พิทักษ์รักษาเป็นอันดี ครั้งนั้นนางนักสนมกำนัลรวม ๒๐๐ คนด้วยกัน มีความริษยานางภรณี ในการที่นางภรณีมีครรภ์ จึงพากันไปบนราชปุโรหิต ให้ทูลพระมหากษัตริย์ว่า ประเพณีพระมเหษีทรงครรภ์ ต้องมอบให้นางนักสนมกำนัลอันเป็นราชบริพารฝ่ายในรักษาจึงควร พระมหากษัตริย์ก็โปรดให้นางนักสนมกำนัลรักษาครรภ์ของนางภรณี ครั้นเมื่อนางภรณีประสูติพระราชโอรส นางนักสนมกำนัลทั้งหลายนั้น ก็แกล้งกล่าวว่า นางภรณีประสูติพระราชบุตรชั่วถ่อยนัก (เรื่องเดิมไม่ปรากฎว่าเป็นอย่างไร) แล้วก็พากันไปทูลพระมหากษัตริย์ๆ ทรงพระพิโรธ ก็ให้ขับนางภรณีเสียจากพระราชวัง ส่วนพระราชโอรสนั้น นางนักสนมกำนัลก็เอาใส่ไหไปถ่วงน้ำเสีย นางภรณีได้สัญจรไปทางทิศตะวันออกของพระนคร ไปอาศัยอยู่กับหญิงแม่หม้ายผู้หนึ่ง เพลาคืนวันนั้นชาวประมงผู้หนึ่งไปทอดแหก็ได้ไหซึ่งใส่โอรสของภรณีนั้นมา ครั้นเมื่อจะเปิดก็เปิดมิออก ด้วยเหตุเทวดารักษาไว้มิให้เปิดไหนั้นออกได้ ชาวประมงจึงมอบไหนั้นให้แก่หัวหน้าชาวตำบลนั้น ให้นำไหไปถวายพระมหากษัตริย์ ชายหัวหน้าชาวบ้านตำบลนั้นก็ได้นำไหนั้นไปถวายพระมหากษัตริย์ๆ ทรงโปรดให้อำมาตย์ราชปุโรหิตเปิดไหออกดู ก็หามีผู้ใดอาจสามารถที่จะเปิดได้ไม่ เพลาจวนรุ่งเทพสังหรให้ทรงพระสุบินว่า โอรสของนางภรณีอย่ในไหนั้น ผู้ใดจะเปิดไหนั่นออกมิได้ ต้องให้นางภรณีมาเปิดจึงจะออกได้
ครั้นรุ่งขึ้นพระมหกษัตริย์จึงให้อำมาตย์เอาคานหามๆทองคำ ๑๐๐๐ ตำลึง ไปประกาศว่าถ้าใครทราบว่านางภรณีอยู่ที่ใด และมาบอกให้ทราบ ก็จะได้รัยพระราชทานรางวัลทองคำ ๑๐๐๐ ตำลึง นางภรณีได้ยินเขาตีฆ้องร้องประกาศดังนั้น จึงบอกแก่หญิงหม้ายให้ไปแจ้งเหตุรับเอารางวัลทองคำ ๑๐๐๐ ตำลึง หญิงหม้ายก็ไปแจ้งเหตุรับเอาทองคำจากอำมาตย์ๆ ก็ไปเชิญนางภรณีให้เข้าไปในพนะราชวัง นางภรณีก็หาไปไม่และให้อำมาตย์ทูลแด่พระมหากษัตริย์ว่า จะไปต่อเมื่อพระมหากษัตริย์ได้ปูผ้าแต่เรือนหญิงหม้ายไปจนถึงปราสาท เป็นราคาผ้าประมาณ ๑๐๐๐ ตำลึงทอง แล้วดาดผ้าเบื้องบนผืนหนึ่ง ราคา ๑๐๐๐ ตำลึงทองและมีต้นกล้วยต้นอ้อยสองข้างตลอดทางประดับด้วยเงินทองแก้วแหวน และดอกไม้ของหอมต่างๆ อำมาตย์ไปทูลพระมหากษัตริย์ตามที่นางภรณีบอกนั้น พระมหากษัตริย์ก็โปรดให้ทำตามทุกอย่าง นางภรณีก็เข้าไปยังปราสาท และสั่งให้อำมาตย์เอาเงินทองแก้วแหวนที่ห้อยต้นกล้วยต้นอ้อยนั้น ไปจำหน่ายเป็นค่าในการขุดบ่อก่อศาลาให้เป็นทาน และสร้างกุฏิวิหารให้นักบวชอยู่ ส่วนผ้าเพดานและผ้าตบแต่งภายในม่านนั้น ไปให้พ่อแม่ของนางภรณี ส่วนผ้า)ทางเดินไปให้แก่หญิงหม้าย แล้วนางก็เข้าไปเฝ้าพระมหากษัตริย์ ถวายบังคม แล้วอธิษฐานว่า ถ้าในไหนี้เป็นลูกของข้าพเจ่าแล้วก็ขอให้ออกมาจากไหขึ้นสู่มือเบื้องซ้ายของข้าพเจ้านี้เถิด
พอนางว่าดังนั้นแล้วราชกุมารก็คลานออกมาจากไห มานั่งอยู่เหนือฝ่ามือนางภรณี ทรงฉวีวรรณดุจหนึ่งทองคำ พระราชาก็มีพระราชหฤทัยหรรษา ได้ตีฆ้องร้องประกาศทั่งอาณาเขตว่า พระราชโอรสของนางภรณีจะได้ครองราชสมบัติต่อไปภายหน้า
เรื่องนี้เทพเจ้าปรารถนาจะให้เป็นคติโลก เมื่อนางภรณีตายแล้ว จึงนำไปสู่อากาศให้กำเนิดเป็นดาวประจำราศีชื่อว่าภรณี รูปเป็นสามเหลี่ยมก้อนเส้าดังนี้
เพื่อให้ประจักษ์แก่ตาโลกว่า ศิลปศาสตร์อันเป็นบาปนั้น ทำให้เกิดในกำเนิดทั้งสาม คือ สตรีภาพ นปุงสก และจตุรบาย
บทนนี้เป็นมูลพยากรณ์ว่า หญิงชายผู้ใดเกิดมา วันเมื่อพระจันทร์เสวยภรณีฤกษ์ จะได้เป็นใหญ่แต่หนุ่มสาว ถึงศัตรูจะปองร้ายอย่างไรก็มิได้ถึงที่ตาย มีผู้คอยพิทักษ์รักษาอยู่แข็งแรง นานไปภายหน้าศัตรูจะกลับมาเป็นมิตรแล |